tag:blogger.com,1999:blog-61919895620662431482024-03-19T04:17:54.495-07:00เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครูAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/06925822195701755297noreply@blogger.comBlogger8125tag:blogger.com,1999:blog-6191989562066243148.post-23545196726363240052014-02-10T22:51:00.002-08:002014-02-10T22:51:31.625-08:00นวัตกรรม เทคโนโลยีและสารสนเทศทางการศึกษา<span style="font-size: large;"><b>(ครั้งที่1)</b></span><br />
<br />
Innovation นวัตกรรม มาจากนวกรรม<br />
Educational Technology เทคโนโลยีทางการศึกษา<br />
1. สื่อวัสดุ (Software) ได้แก่ สไลด์ ฟิล์มภาพยนตร์ บัตรคำ (Word Card)<br />
แผ่นโปร่งใส (Transparency)<br />
ไมโครฟิลม์ (Microfilm)<br />
2. สื่อวัสดุอุปกรณ์ (Hardware)<br />
เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องฉายสไลด์ คอมพิวเตอร์ เครื่องฉายLCD<br />
Liquid Crystal Display<br />
3. เทคนิควิธีการ (Technic หรือ Technique)<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<b><span style="font-size: large;">(ครั้งที่2)</span></b><br />
<br />
นวัตกรรม = นว + อตต + กรรม มีความหมายว่า การทำสิ่งใหม่ขึ้นมา<br />
<br />
นว = ใหม่<br />
อตต = ตัวเอง<br />
กรรม = กระทำ<br />
<br />
Thomas Hughes ให้ความหมาย นวัตกรรมไว้ว่า การนำวิธีการใหม่ๆ มาปฏิบัติ หลังจากได้ผ่านการทดลองหรือได้รับกาพัฒนามาเป็นขั้นๆแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่ การคิดค้น (Invention) พัฒนาการ (Development) ซึ่งอาจจะเป็นไปในรูปของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project) แล้วจึงนำไปปฏิบัติจริง ซึ่งมีความแตกต่างไปจากการปฏิบัติเดิมที่เคยปฏิบัติมา และเรียกว่า นวัตกรรม (Innovation)<br />
<br />
Morton J.A. ได้ให้คำนิยามของ นวัตกรรมไว้ว่า การทำให้ใหม่ขึ้นอีกครั้ง (Renewal) ซึ่งได้แก่ การปรับปรุุงของเก่าและการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การนั้นๆ นวัตกรรมไม่ใช่การขจัด หรือล้มล้างสิ่งเก่าให้หมดไป แต่เป็นการปรับปรุงเสริมแต่งและพฒนาเพื่อความอยู่รอดของระบบ<br />
<br />
Miles Matthew B. ได้ให้ความหมายไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงแนวคิดอย่างถ้วนถี่ การเปลี่ยนแปลงให้ใหม่ขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้เป้าหมายของระบบบรรลุผล<br />
<br />
กิดานันท์ มลิทอง ได้ให้ความหมายไว้ว่า การปฏิบัติหรือ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาการดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดีขึ้น เมื่อนำนวตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย<br />
<br />
<br />
นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. การประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือการปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับกาลสมัย<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลอง จัดทำอยู่ในลักษณะของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3. การนำเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งจัดว่าเป็นนวัตกรรมขั้นสมบูรณ์<br />
<br />
<br />
นวัตกรรมการศึกษา Educational Innovation หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำรวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตาม เข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เกิดแรงจูงใจในการเรียนและช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน<br />
<br />
<br />
ตัวอย่างการใช้นวัตกรรมการศึกษา ซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย และประเภทที่กำลังเผยแพร่ นการเรียนการสอนที่ใช้คอมพิวเคอร์ช่วยสอน (Computer Aided Instruction) การใช้แผ่นวีดีทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia) และอินเทอร์เน็ต (Internet) เป็นต้น วารสารออนไลน์ บรรณปัญญา.htm<br />
<br />
Computer Based = Computer Assisted Instruction = Computer Aided Instruction<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="font-size: large;"><b>(ครั้งที่3)</b></span><br />
<span style="font-size: large;"><b><br /></b></span>
ความหมายของเทคโนโลยี<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในกิจกรรมด้านต่างๆ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพในกิจกรรมต่างๆเหล่านั้น<br />
<br />
เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ตามรูปศัพท์ เทคโน (วิธีการ) + โลยี (วิทยา) หมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนำวิธีการ มาปรับปรุงประสิทธิภาพของการศึกษาให้สูงขึ้น เทคโนโลยีทางการศึกษา มี 3 อย่าง คือ วัสดุ อุปกรณ์และวิธีการ<br />
<br />
สภาเทคโนโลยีทางการศึกษานานาชาติได้ให้ความหมายไว้ เทคโนโลยีทางการศึกษา ว่า<br />
"เป็นพัฒนาการและประยุกต์ระบบ เทคนิคและอุปกรณ์ ให้สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ ได้อย่างเหมาะสมเพื่อสร้างเสริมกระบวนการเรียนรู้ของคนให้ดียิ่งขึ้น"<br />
<br />
ดร. เปรื่อง กุมุท ได้กล่าวถึงความหมายของ เทคโนโลยีทางการศึกษา ว่า เป็นการขยายขอบข่ายของการใช้สื่อการสอนให้กว้างขวางขึ้น ทั้งในด้านบุคคล วัสดุ เครื่องมือ สถานที่ และกิจกรรมต่างๆในกระบวนการเรียนการสอน<br />
<br />
Edgar Dale กล่าวว่า เทคโนโลยีทางการศึกษา ไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็นแผนการหรือวิธีการทำงานอย่างเป็นระบบให้บรรลุตามแผนการ<br />
<br />
แนวคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการศึกษา<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นการขยายแนวคิดเกี่ยวกับโสตทัศนศึกษาให้กว้างขวางขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากโสตทัศนศึกษาหมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับการใช้ตาดูหูฟัง ดังนั้นอุปกรณ์ในสมัยก่อนมักเน้นการใช้ประสาทสัมผัสด้านการฟังและการดูเป็นหลัก จึงใช้คำว่า โสตทัศนศึกษา (Audio-Visual Education)<br />
<br />
เทคโนโลยีทางการศึกษา มีความหมายที่กว้างกว่า ซึ่งอาจพิจารณาจากความคิดรวบยอดของเทคโนโลยี ได้เป็น 2 ประการ คือ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. ความคิดรวบยอด ทางวิทยาศาสตร์กายภาพ ตามความคิดรวบยอดนี้ เทคโนโลยีทางการศึกษา หมายถึง การประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของสิ่งประดิษฐ์ เช่น เครื่องฉายภาพยนต์ โทรทัศน์ อื่นๆ มาใช้สำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ กรใช้เครื่องมือเหล่านี้มักคำนึงถึงเฉพาะการควบคุมให้เครื่องทำงานซึ่งไม่คำนึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้โดยเฉพาะเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล และการเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาวิชา<br />
<br />
<br />
ความหมายของเทคโนโลยีทางการศึกษา ตามคามคิดรวบยอดนี้ ทำให้บทบาทของเทคโนโลยีทางการศึกษาแคบลงไป คือมีเพียงวัสดุ และอุปกรณ์เท่านั้น ไม่รวมวิธีการหรือปฏิกริยาสัมพันธ์อื่นๆเข้าไปด้วย ซึ่งตามความหมายนี้ก็คือ "โสตทัศนศึกษา" นั่งเอง<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. ความคิดรวบยอดทางพฤติกรรมศาสตร์ เป็นการนำวิธีการทางจิตวิทยา มนุษยวิทยา กระบวนการกลุ่ม ภาษา การสื่อความหมาย การบริหาร เครื่องยนต์กลไก การับรู้มาใช้ควบคู่กับผลิตกรรมทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเพื่อให้ผู้เรียนเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น มิใช่เพียงการใช้เครื่องมืออุปกรณืเท่านั้น แต่รวมถึงวิธีการทา<br />
วิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย มิใช่วัสดุ หรืออุปกรณ์แต่เพียงอย่างเดียว<br />
<br />
<br />
เป้าหมายของเทคโนโลยีทางการศึกษา<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. การขยายพิสัยของทรัพยากรของการเรียนรู้ กล่าวคือ แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้มิได้หมายถึงแต่เพียงตำรา ครู และอุปกรณ์การสอนที่โรงเรียนมีอยู่เท่านั้น แนวคิดทางเทคโนโลยีทางการศึกษา ต้องการให้ ผู้เรียนมีโอกาสทางการศึกษาจากแหล่งความรู้ที่กว้างขวางออกไปอีก แหล่งทรัพยากรทางการเรียนรู้ครอบคลุมถึงเรื่องต่างๆ เช่น คน วัสดุและเครื่องมือ และเทคนิค-วิธีการ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1.1 คน เช่น ครู และวิทยากรอื่นๆ ซึ่งอยู่นอกโรงเรียน เช่น เกษตรกร ตำรวจ บุรุษไปรษณีย์ เป็นต้น<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1.2 วัสดุและเครื่องมือ ได้แก่ โสตทัศน์วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ เครื่องวิดีโอเทปของ จริง ของจำลองสิ่งพิมพ์ รวมถึงการใช้สื่อมวลชนต่างๆ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1.3 เทคนิค-วิธีการ เช่น เน้นให้ผู้เรียนเผ็นศูนย์กลาง โดยการให้นักเรียนไปหาข้อมูลมารายงานหน้าชั้นเรียนเป็นต้น<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1.4 สถานที่ ได้แก่ โรงเรียน ห้องปฏิบัติการทดลอง โรงฝึกงาน ไร่นา ฟาร์ม ที่ทำการรัฐบาล ภูเขา แม่น้ำ ทะเลหรือสถานที่ใดๆ ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้เรียนได้<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. การเน้นการเรียนรู้แบบเอกัตบุคคล นักจิตวิทยาได้คิด "แบบเรียนโปรแกรม" ซึ่งทำหน้าที่สอนเหมือนกับครูาสอน นักเรียนจะเรียนด้วยตนเองจากแบบเรียนในรูปแบบเรียนเป็นเล่ม หรือเครื่องสอนหรือสื่อประสมหลายๆ อย่าง จะเรียนช้าหรือเร็วก็ทำได้ ตามความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3. การใช้วิธีวิเคราะห์ระบบในการศึกษา การใช้วิธีระบบในการปฏิบัติหรือแก้ปัญหา เป็นวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ ว่าจะสามารถแก้ปัญหาหรือช่วยให้งานบรรลุเป้าหมายได้ เนื่องจากกระบวนการของวิธีระบบ เป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบของงานหรือของระบบอย่างมีเหตุผล หาทางให้ส่วนต่างๆของระบบทำงานประสานสัมพันธ์กันอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>4. พัฒนาเครื่องมือ-วัสดุอุปกรณ์ทางการศึกษา การสอนปัจจุบันต้องมีการพัฒนาให้มีศักยภาพหรือขีดความสามารถในการทำงานให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก<br />
<br />
แนวคิดพื้นฐานของนวัตกรรมทางการศึกษา Innovation in Education<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ แนวคิดพื้นฐานทางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงไป อันมีผลทำให้เกิดนวัตกรรมทา<br />
การศึกษา ที่สำคัญๆ พอจะสรุปได้ 4 ประการ ดังต่อไปนี้<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Difference) การจัดการศึกษาของไทย ให้ความสำคัญคือ เน้นจัดการศึกษาตามความถนัด ความสนใจ และความสามารถของแต่ละคนเป็นเกณฑ์ เช่น การจัดระบบห้องเรียนโดยใช้อายุเป็นเกณฑ์<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1.1 การเรียนไม่แบ่งชั้น (Non-Graded School) เช่น โรงเรียนแบบศาลาวัด ที่ ร.ร. สาธิตแห่งมหาวิทายลัยขอนแก่น<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1.2 การเรียนสำเร็จรูป (Programmed Text Book)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1.3 เครื่องสอน (Teaching Machine)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1.4 การสอนเป็นคณะ (Team Teaching)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1.5 การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1.6 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction)<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. ความพร้อม (Readiness) เดิมเชื่อกันว่า เด็กจะเริ่มเรียนได้เมื่อพร้อม เป็นเรื่องของพัฒนาการตามธรรมชาติ แต่ปัจจุบันการวิจัยทางจิตวิทยาได้ชี้ให้เห็นว่า ความพร้อมในการเรียนสามารถสร้างขึ้นได้ ถ้าหากจัดบทเรียนให้พอเหมาะกับระดับความสามารถของเด็กแต่ละคน นวัตกรรมที่ตอบสนองแนวความคิดพื้นฐานนี้ได้แก่ ศูนย์การเรียน (Learning Center) การจัดโรงเรียนในโรงเรียน (School within School) การปรับปรุงการสอน 3 ชั้น (Instructional Development in 3 Phases)<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา แต่เดิมมา การจัดเวลาเพื่อการสอน หรือตารางการสอนมักจัดโดยอาศัยความสะดวกเป็นเกณฑ์ เช่น ถือหน่วยเวลาเป็นชั่วโมง เท่ากันทุกวิชาทุกวัน แต่ปัจจุบันนั้นได้มีความคิดในการจัดป็นหน่วยเวลาสอนให้สัมพันธ์กับลักษณะของแต่ละวิชา ซึ่งอาจจะใช้เวลาไม่เท่ากัน บางวิชาอาจจะใช้ช่วงสั้นๆ แต่สอนบ่อยครั้ง การเรียนก็ไม่จำกัดอยู่แต่ในห้องเรียนเท่านั้น นวัตกรรมที่สนองแนวความคิดพื้นฐานด้านนี้ เช่น การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling) มหาวิทยาลัยเปิด (Open University) แบบเรียนสำเร็จรูป (Programmed Instruction) การเรียนทางไปรษณีย์<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>4. ประสิทธิภาพในการเรียน การขยายตัวทางวิชาการและการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้มีสิ่งต่างๆ ที่คนจะต้องเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาก แต่การจัดระบบการศึกษาในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ จึงจำเป็นต้องแสวงหาวิธีการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และปัจจัยภายนอก นวัตกรรมในด้านนี้ที่เกิดขึ้น เช่น มหาวิทยาลัยเปิด การเรียนทางวิทยุ การเรียนทางโทรทัศน์ การเรียนทางไปรษณีย์หรือแบบเรียนสำเร็จรูป ชุดการเรียน<br />
<br />
<br />
นวัตกรรมทางการศึกษาต่างๆ ที่กล่าวถึงกันมากในปัจจุบัน<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- E-learning<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="font-size: large;"><b>(ครั้งที่ 4)</b></span><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> ...การเรียนรู้และการสื่อความหมาย....<br />
<br />
เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษาเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาทางการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาด้านการเรียนการสอนหรือการถ่ายทอดความรู้ความคิดต่างๆ แก่บุคคลหรือกลุ่มคนซึ่งบุคคลหรือกลุ่มคน ดังกล่าวมีจิตใจอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด มีความสามารถในการรับรู้หรือเรียนรู้ไม่คงที่แน่นอน<br />
<br />
ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษาในการเรียนการสอนจึงจำเป็นต้องใช้ให้สอดคล้องกับปัจจัยทางธรรมชาติของมนุษย์ คือจะต้องอาศัยทฤษฎีและหลักการทางจิตวิทยาการเรียนรู้การสื่อสารรวมทั้งสิ่งแวดล้อมอื่นๆที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุด<br />
<br />
<br />
...ความหมายของการเรียนรู้<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร เป็นผลเนื่องจากประสบการณ์หรือการกระทำที่ย้ำบ่อยๆ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>องค์ประกอบของการเรียนรู้<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 1. แรงขับ (Drive)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 2. สิ่งเร้า (Stimulus)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 3. การตอบสนอง (Response)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> 4. การเสริมแรง (Reinforcement)<br />
<br />
1. แรงขับ (Drive) คือ ความต้องการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล เป็นความพร้อมที่จะเรียนรู้ของแต่ละบุคคลซึ่งแรงขับและความพร้อมเหล่านี้จะก่อให้กิดปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมที่ชักนำไปสู่การเรียนรู้<br />
<br />
2. สิ่งเร้า (Stimulus) คือ สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างๆซึ่งเป็นตัวที่ทำให้บุคลแสดงการตอบสนองออกมา<br />
3. การตอบสนอง (Response) คือ พฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกมาเมื่อบุคคลได้รับการกระตุ้นจากสิ่งเร้า<br />
<br />
4. การเสริมแรง (Reinforcement) เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อบุคคลอันมีผลในการเพิ่มพลังให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองเพิ่มขึ้น การเสริมแรงมีทั้งทางบวกและทางลบ<br />
<br />
<br />
...จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้<br />
<br />
พฤติกรรมการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายในแนวคิดของบลูม และคณะ มุ่งพัฒนาผู้เรียนใน 3 ด้านดังนี้<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) คือผลของการเรียนรู้ที่เป็นความสามารถทางสมอง ครอบคลุมพฤติกรรมประเภทความจำความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินผล<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) คือ ผลของการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงด้านความรู้สึก ทัศนคติ และค่านิยม<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3. ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) คือ ผลของการเรียนรู้ที่เป็นความสามารถด้านการปฏิบัติ การเคลื่อนไหว การมีทักษะและความชำนาญ<br />
<br />
<br />
...ลำดับขั้นของการเรียนรู้<br />
<br />
ในการเรียนรู้ของคนเรานั้นจะประกอบด้วยลำดับขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญด้วยกัน 3 ขั้นตอน คือ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. ประสบการณ์ (Experiences) ในบุคคลปกติทุกคนจะมีประสาทสัมผัสที่เป็นที่เข้าใจก็คือ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง ประสาทสัมผัสรับรู้เหล่านี้จะเป็นเสมือนช่องประตูที่จะทำให้บุคคลได้รับรู้และตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. ความเข้าใจ (Understanding) ก็คือการตีความหมายหรือการสร้างมโนมติ (Concept) ในประสบการณ์นั้น กระบวนการนี้ก่อให้เกิดขึ้นในสมองหรือจิตของบุคคล<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3. ความนึกคิด (Thinking) ความนึกคิดถือเป็นขั้นสุดท้ายของการเรียนรู้<br />
<br />
ตัวอย่างนักจิตวิทยาที่มีความโดดเด่นทางด้านทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ เช่น Bloom, Mayer, Bruner, Tylor และ Gagne<br />
<br />
<br />
<br />
ระดับการเรียนรู้ของ Bloom<br />
<br />
1. ความรู้ที่เกิดจากการจำ (Knowledge) ซึ่งเป็นระดับล่างสุด<br />
2. ความเข้าใจ (Comprehend)<br />
3. การประยุกต์ (Application)<br />
4. การวิเคราะห์ (Analysis) สามารถแก้ปัญหาได้<br />
5. การสังเคราะห์ (Synthesis)<br />
6. การประเมินค่า (Evaluation) วัดได้<br />
<br />
<br />
การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ Mayer<br />
<br />
ในการออกแบบสื่อการเรียนการสอน การวิเคราะห์ ความจำเป็น เป็นสิ่งสำคัญและตามด้วยจุดประสงค์ของการเรียนโดยแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ 3 ส่วนด้วยกัน<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. พฤติกรรม ควรชี้ชัดและสังเกตได้<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. เงื่อนไข พฤติกรรมนั้นจะสำเร็จได้ ควรมีเงื่อนไขการช่วยเหลือ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3. มาตรฐาน พฤติกรรมที่ได้นั้นสามารถอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด<br />
<br />
<br />
การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ Bruner<br />
<br />
1. ความรู้หรือการเรียนรู้ถูกสร้างหรือถูกหล่อหลอมด้วยประสบการณ์<br />
2. ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบในการเรียน<br />
3. ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความหมายขึ้นมาจากแง่มุมต่างๆ<br />
4. ผู้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง<br />
5. ผู้เรียนเลือกเนื้อหาและกิจกรรมเอง<br />
6. เนื้อหาควรถูกมองในภาพรวม<br />
<br />
การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ Tylor<br />
<br />
1. ความต่อเนื่อง (Continuity) หมายถึง ในวิชาทักษะต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะในกิจกรรมและประสบการณ์บ่อยๆและต่อเนื่อง<br />
2. การจัดช่วงลำดับ (Sequence) หมายถึง การจัดสิ่งที่มีความง่ายไปสู่สิ่งที่มีความยาก<br />
3. บูรณาการ (Integration) หมายถึง การจัดประสบการณ์ ควรเป็นในลักษณะที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เพิ่มพูนความคิดเห็นและแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องกัน<br />
<br />
<br />
การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ Gagne<br />
<br />
1. การจูงใจ (Motivation Phase)<br />
2. การรับรู้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Apprehending Phase)<br />
3. การปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้ไว้เป็นความจำ (Acquisition Phase)<br />
4. ความสามารถในการจำ (Retention Phase)<br />
5. ความสามารถ ในการระลึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว (Recall Phase)<br />
6. การรำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว (Generalization Phase)<br />
7. การแสดงออกพฤติกรรมที่เรียนรู้ (Performance Phase)<br />
8. การแสดงผลการเรียนรู้กลับไปยังผู้เรียน (Feedback Phase)<br />
<br />
<br />
การเรียนรู้เริ่มเกิดเมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้นบุคคล ระบบประสาทจะตื่นตัวเกิดการรับสัมผัสทั้ง 5 แล้วส่งกระแสประสาทไปยังสมองเพื่อแปลความหมายโดยอาศัยประสบการณ์เดิมเป็นการรับรู้ใหม่ อาจสอดคล้องหรือแตกต่างไปจากประสบการณ์เดิม แล้วสรุปผลของการรับรู้นั้น เป็นความเข้าใจหรือความคิดรวบยอดและมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่งเร้าตามที่รับรู้ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม แสดงว่าเกิดการเรียนรู้<br />
<br />
<br />
Stimuls > Sensation > Perception > Concept > Response > Learning<br />
สิ่งเร้า ประสาทสัมผัส การรับรู้ การคิดรวบยอด การตอบสนอง เกิดการเรียนรู้<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="font-size: large;"><b>(ครั้งที่5)</b></span><br />
<br />
การรับรู้ (Perception)<br />
<br />
การรับรู้ เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ที่สำคัญของบุคคล เพราะการตอบสนองพฤติกรรมใดๆ จะขึ้นอยู่กับ การรับรู้จากสภาพแวดล้อมของตน และความสามารถในการเเปลควาหมายของสภาพนั้นๆ ดังนั้นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพจึงขึ้นอยู่กับการรับรู้และสิ่งเร้าที่มีประสิทธิภาพซึ่งปัจจัยการรับรู้ประกอบด้วย ประสาทสัมผัส และ ปัจจัยทางจิต เแก่ ความรู้เดิม ความต้องการ และเจตคติ เป็นต้น<br />
<br />
<br />
หลักการรับรู้ในทางการศึกษาที่สำคัญ<br />
<br />
1. การรับรู้จะพัฒนาตามวัย และความสามารถทางสติปัญญาที่จะรับรู้สิ่งภายนอกอย่างถูกต้องเหมาะสม<br />
2. การรับรู้โดยการเห็น จะก่อให้เกิดความเข้าใจดีกว่าการได้ยิน และประสาทสัมผัสอื่นๆ ดังนั้นการเรียนรู้โดยผ่านประสาทสัมผัสมาก จะก่อให้เกิดความเข้าใจที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น<br />
3. ลักษณะและวิธีการรับรู้ของแต่ละคน จะแตกต่างกันตามพื้นฐานของบุคลิกภาพ และจะแสดงออกตามที่ได้รับรู้และเจตคติของเขา<br />
4. การเข้าใจผู้เรียนทั้งในด้านคุณลักษณะและสภาพแวดล้อม จะเป็นผลดีต่อการจัดการเรียนการสอน<br />
<br />
<br />
การถ่ายโยงการเรียนรู้ (Transfer of Learning)<br />
<br />
1. Thorndike กล่าวถึง การถ่ายโยงการเรียนรู้จากสถานการณ์หนึ่งไปสู่อีกสถานการณ์หนึ่งว่า สถานการณ์ทั้ง 2 จะต้องมีองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกัน คือ เนื้อหา วิธีการ และเจตคติที่สัมพันธ์กันกับสถานการณ์เดิม<br />
2. Gestalt กล่าวว่า การถ่ายโยงการเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนได้มองเห็นรูปร่างทั้งหมดของปัญหาและรับรู้ความสัมพันธ์นั้นเข้าไป กล่าวคือ สถานการณ์ใหม่จะต้องสัมพันธ์กับสถานการณ์เดิม<br />
<br />
<br />
หลักการและแนวคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการถ่ายโยงการเรียนรู้<br />
<br />
1. การถ่ายโยง ควรจะต้องปลูกฝังความรู้ความคิด เกี่ยวกับกฏเกณฑ์ต่างๆ เป็นพื้นฐานที่สามารถนำไปใช้ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน<br />
2. ผู้สอนควใช้วิธีการแก้ปัญหา หรือวิธีการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีโอกาสคิดและเกิดทักษะอย่างกว้างขวาง ซึ่งจะเป็นวิธีการที่ช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ของความรู้<br />
3. การถ่ายโยงจะเกี่ยวข้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล กิจกรรมการเรียนการสอน จึงต้องคำนึงหลักการดังกล่าว<br />
<br />
<br />
การสื่อความหมาย (Communication)<br />
<br />
การสื่อความหมายเป็นพฤติกรรมสำคัญที่สัตว์สังคมทุกชนิดใช้เป็นเครื่องมือในการติดต่อซึ่งกันและกัน แสดงถึงความเป็นหมู่เหล่าเผ่าพันธุ์เดียวกัน รากศัพท์จากภาษาลาตินว่า Communis หรือ Commus แปลว่า คล้ายคลึง หรือร่วมกันวซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Communication<br />
<br />
การสื่อความหมายจึงเป็นกระบวนการส่งหรือถ่ายทอดความรู้ เนื้อหาสาระ ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ ค่านิยม ทักษะ ตลอดจนประสบการณ์จากบุคคลฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า "ผู้ส่ง" ไปยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่า "ผู้รับ" เราสามารถส่งข้อมูลได้โดยทางภาพ หรือ ทางเสียง<br />
<br />
<br />
โครงสร้างและองค์ประกอบของกระบวนการสื่อความหมาย<br />
<br />
1. ผู้ส่ง (Source or Sender) แหล่งกำเนิดสาร เป็นสัตว์หรือหน่วยงานก็ได้<br />
2. สาร (Message) คือ เนื้อหาสาระ ทัศนคติ ทักษะ ประสบการณ์ที่มีอยู่ในตัวผู้ส่งหรือแหล่งกำเนิด<br />
3. ช่องทาง (Channel) คือช่องทางต่างๆที่ใช้ในการรับรู้สาร ได้แก่ หู ตา จมูก ปาก เป็นต้น<br />
4. ผู้รับ (Receiver) คือบุคคล องค์การ หรือหน่วยงานที่รับรู้สารจากผู้ส่ง เข้าสู่ตนเอง<br />
<br />
<br />
สรุปความสัมพันธ์ของการรับรู้ การเรียนรู้ และการสื่อความหมาย<br />
<br />
จากที่กล่าวมา การเรียนรู้เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวรอันเนื่องเป็นผลมาจากประสบการณ์หรือการปฏิบัติซ้ำๆบ่อยๆ โดยรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 เมื่อเกิดกระบวนการทั้ง 2 อย่างนี้แล้วก็จะทำให้สามารถถ่ายทอดความรู้ความสามารถ เนื้อหา สาระ ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ ค่านิยม ทักษะ ตลอดจนประสบการณ์จาก ผู้ส่ง ไปยัง ผู้รับ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="font-size: large;">(ครั้งที่ 6) </span><span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"><span style="font-size: large;"> </span></span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"><span style="font-size: large;"> </span> </span><br />
System<br />
<br />
ระบบประกอบด้วยส่วนประกอบที่ได้ถูกกำหนดไว้ให้ทำหน้าที่โดยมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ร่วมกัน<br />
<br />
กลุ่มขององค์ประกอบต่างๆที่มีความสัมพันธ์กัน<br />
<br />
แต่ละองค์ประกอบมีความสำคัญ<br />
<br />
แต่ละองค์ประกอบจะประสานการทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุสู่เป้าหมายเดียวกัน<br />
A set of elements or components that interact to accomplish goals.<br />
(Stair, Ralph M. 1996)<br />
<br />
A group of interrlated or interacting elements forming a unified whole.<br />
<br />
Example of system<br />
<br />
<br />
<br />
ลักษณะของระบบเชิงกายภาพ<br />
<br />
ปัจจัยนำเข้า<br />
กระบวนการ<br />
ผลลัพธ์<br />
<br />
Input > Process > Output<br />
<br />
<br />
ประเภทของระบบ<br />
<br />
1. ระบบปิด (Closed System) ระบบที่โดดเดี่ยว ไม่มีการติดต่อกับระบบอื่นๆ เช่น สัญญาณไฟจราจร<br />
<br />
<br />
2. ระบบเปิด (Open System) ระบบที่มีการโต้ตอบกับระบบอื่นๆ เช่ ATM กดเงิน 5000 ออกมา 2000 ทำให้เราต้องติดต่อระบบที่ธนาคาร นั่นเอง<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<span style="font-size: large;"><b>(ครั้งที่ 7)</b></span><br />
<br />
System<br />
<br />
Input<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>Process<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>Output<br />
โรงงานน้ำตาล<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การสกัดน้ำอ้อย<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>น้ำตาลทราย<br />
เครื่องจักร<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การทำความสะอาดน้ำอ้อย<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>กากน้ำตาล<br />
วัตถุดิบ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การต้มให้ได้น้ำเชื่อม<br />
แรงงาน<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การเคี่ยวให้เป็นผลึกและกาก<br />
เงินทุน<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การปั่นแยกผลึกน้ำตาล<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การอบ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การบรรจุถุง<br />
<br />
<br />
Input Process output ในมหาวิทยาลัย<br />
<br />
อาจารย์<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การจัดการเรียนการสอน<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>นักศึกษาคณะครุศาสตร์ที่จบปริญญา<br />
สื่อการศึกษา<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การอบรม<br />
นักศึกษา<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การลงทะเบียนเรียน<br />
สภานศึกษา<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การบันทึกผล<br />
หลักสูตร<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การฝึกงาน<br />
เงินทุน หรือ งบประมาณ<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>กิจกรรมส่งเสริมด้านต่างๆ คุณธรรม จริยธรรม เป็นต้น<br />
<br />
<br />
<br />
...สื่อการสอน (Instruction Media)<br />
<br />
วาสนา ชาวหา ได้ให้ความหมายไว้ว่า สิ่งใดก็ตามที่เป็นตัวกลางหรือพาหะนำความรู้ไปสู่ผู้เรียน และทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้เป็นอย่างดี<br />
<br />
...ความสำคัญของสื่อการสอน<br />
1. เป็นเครื่องมือช่วยสอน ผู้เรียนสามารถตามเนื้อหาได้ง่ายขึ้น<br />
2. เป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้ของผู้เรียน ผู้เรียนจะใช้สื่อเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง<br />
3. เป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการเกี่ยวกับการสอน เปลี่ยนผู้สอนจาก "ผู้บอก" มาเป็น "ผู้จัดการและกำกับดูแล"<br />
4. เป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มคุณภาพทางการศึกษา<br />
<br />
...คุณค่า<br />
1. ทำสิ่งซับซ้อนให้ดูง่ายขึ้น<br />
2. ทำสิ่งที่เป็นนามธรรมห้เป็นรูปธรรมมากขึ้น<br />
3. สิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ดูช้าลง<br />
4. สิ่งที่เคลื่อนไหวช้าให้ดูเร็วขึ้น<br />
5. ทำสิ่งที่ใหญ่มากให้เล็กเหมาะแก่การศึกษา<br />
6. ทำสิ่งที่เล็กมากให้มองเห็นได้ชัด<br />
7. นำสิ่งที่เกิดในอดีตมาศึกษาในปัจจุบัน<br />
8. นำสิ่งที่อยู่ไกลมาศึกษาในห้องเรียนได้<br />
<br />
...ประเภทของสื่อ<br />
<br />
1. Hardware สิ่งที่เป็นตัวกลางหรือตัวผ่านทำให้ข้อมูลความรู้ที่บันทึกไว้ในวัสุสามารถถ่ายทอดออกมาให้เห็นหรือได้ยิน เช่น เครื่องฉายภาพโปร่งใส (Overhead Projector) เครื่องเล่นเทป<br />
<br />
2. Software สื่อที่เก็บความรู้อยู่ในตัวเอง จำแนกได้ 2 ลักษณะ<br />
2.1 วัสดุที่สามารถถ่ายทอดเนื้อหาได้ด้วยตนเอง เช่น แผนที่ ลูกโลก หุ่นจำลอง เป็นต้น<br />
2.2 วัสดุที่ไม่สามารถถ่ายทอดเนื้อหาได้ด้วยตนเอง ต้องอาศัยอุปกรณ์อื่นเข้ามาช่วย เช่น แผ่นเสียง สไลด์ เป็นต้น<br />
<br />
3. Technique and Method หมายถึง สื่อที่มีลักษณะเน้นแนวความคิดหรือรูปแบบขั้นตอนในการเรียนการสอน เป็นสำคัญอาจจนำเอาวัสดุหรืออุปกรณ์มาช่วยในการสอนด้วยก็ได้<br />
<br />
<br />
...สื่อการสอนในทางเทคโนโลยีการศึกษา<br />
<br />
หมายถึง ตัวกลางที่ทำให้ความเป็นนามธรรมเปลี่ยนเป็นรูปธรรม ...สื่อกลางของการสื่อสารและกระบวนการเรียนการสอน<br />
<br />
<br />
...เทคโนโลยีการศึกษา<br />
<br />
วิธีการที่เกิดประโยชน์<br />
เพื่อการถ่ายทอดข้อมูลความรู้<br />
<br />
<br />
...ชแรมม์ ได้จำแนกสื่อตามความเก่าใหม่ของการเกิดเป็น 4 รุ่น ดังนี้<br />
<br />
1. รุ่นทวด ได้แก่ กระดานชอลค การสาธิต การแสดงละคร<br />
2. รุ่นปู่ ได้แก่ สื่อการสอนพวกตำราเรียน แบบทดสอบ เกิดขึ้นหลังปี ค.ศ. 1450<br />
3. รุ่นพ่อ ได้แก่ สื่อประเภท ภาพถ่าย สไลด์ ผิลม์สตริพ<br />
4. รุ่นปัจจุบัน<br />
<br />
<br />
...สื่อเทคโนโลยีการศึกษา<br />
<br />
1. ส่อสามมิติ (Three Dimension Media) เช่น ของจริง (Realia) ของตัวอย่าง (Specimen) หุ่นจำลอง (Model) หุ่นตัดแบบ (Mock-Up)<br />
2. สื่อสองมิติ (Two Dimension Media) เช่น<br />
สื่อทึบแสง (Opaque Media) ได้แก่ รูปภาพ แผนภาพ แผนสถิติ ภาพโฆษณา แผนที่<br />
สื่อโปร่ง ได้แก่ แผ่นโปร่งใส สไลด์ ฟิล์มสตริพ (Filmstrip)<br />
สื่อโปร่งใสเคลื่อนไหว<br />
3. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Media) เช่น เทปวิดิทัศน์ แผ่นวิดิทัศน์ คอมพิวเตอร์ เทปเสียง แผ่นเสียง<br />
<br />
<br />
...สื่อการสอน<br />
<br />
Motion Media : Video Cassette Film<br />
Text : Book and handouts<br />
Audio : Radio Cassette<br />
Object : ไม่ทันอ่ะ<br />
Visuals : ไม่ทันอ่ะ<br />
<br />
สื่อการสอนในศตวรรษที่ ๒๑ : Digital Audio, Desktop publishing, Virtual Reality, Digital Video Interactive, CD-ROM<br />
<br />
<br />
...แนวโน้มของสื่อและเทคโนโลยี<br />
<br />
ขนาด : สื่อขนาดเล็ก<br />
ระบบ : การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการับส่งข้อมูลAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/06925822195701755297noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6191989562066243148.post-19707983318841841552013-01-23T21:48:00.006-08:002013-01-29T23:52:45.299-08:00การทำงานของระบบ Network และ Internet<div style="text-align: center;">
</div>
<div style="text-align: left;">
<strong> รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology)</strong><br />
<br />
การจัดระบบการทำงานของเครือข่าย มีรูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย อันเป็นการจัดวางคอมพิวเตอร์ และการเดินสายสัญญานคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย รวมถึงหลักการไหลเวียนข้อมูลในเครือข่ายด้วย โดยแบ่งโครงสร้างเครือข่ายหลักได้ 4 แบบ คือ<br />
<br />
-เครือข่ายแบบดาว<br />
-เครือข่ายแบบวงแหวน<br />
-เครือข่ายแบบบัส<br />
-เครือข่ายแบบต้นไม้</div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
รูปแบบโครงสร้างของเครือข่าย (Network Topology) ทั้ง 4 รูปแบบ</div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6bU2EWYDr60vfok3usGs-Xf_Xdo7jDmKsw179gjn872n9Ya94HA6JJzxUx399br6bb96SwbR27Cd8tfqSsRko31XhBnGOydODHMt4WHxkUnfxtLMMq6pgzBPcHp8mNB4LEHIjdbry_qc/s1600/11.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6bU2EWYDr60vfok3usGs-Xf_Xdo7jDmKsw179gjn872n9Ya94HA6JJzxUx399br6bb96SwbR27Cd8tfqSsRko31XhBnGOydODHMt4WHxkUnfxtLMMq6pgzBPcHp8mNB4LEHIjdbry_qc/s1600/11.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: left;">
<br />
<strong>1.แบบดาว</strong> เป็นแบบการต่อสายเชื่อมโยง โดยการนำสถานีต่างๆ มาต่อร่วมกันกับหน่วยสลับสายกลาง การติดต่อสื่อสารระหว่างสถานีจะกระทำได้ด้วยการติดต่อผ่านทางวงจรของหน่วยสลับสายกลาง การทำงานของหน่วยสลับสายกลางจึงคล้ายกับศูนย์กลางของการติดต่อวงจรเชื่อมโยงระหว่างสถานีต่าง ๆ ที่ต้องการติดต่อกัน</div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<strong>เครือข่ายแบบดาว (Star Network)</strong></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-rCIB4pv8XbE7NLAKBCc9mfaOVVqtkR6YeZkS354i3OVmLY5AD1Pqy4_FDY7eO9SOPMXqRE03i5D_SJcV4XXc6VreGfIxcE7ApQQKHoeykeTTiR3Srk0-2_MKjReDyrW03K08wB9ibwU/s1600/22.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="274" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-rCIB4pv8XbE7NLAKBCc9mfaOVVqtkR6YeZkS354i3OVmLY5AD1Pqy4_FDY7eO9SOPMXqRE03i5D_SJcV4XXc6VreGfIxcE7ApQQKHoeykeTTiR3Srk0-2_MKjReDyrW03K08wB9ibwU/s320/22.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
ลักษณะการทำงานของเครือข่ายแบบดาว<br />
<br />
เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายรูปดาวหลายแฉก โดยมีสถานีกลาง หรือฮับ เป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย สถานีกลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสารทั้งหมด นอกจากนี้สถานีกลางยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางคอยจัดส่งข้อมูลให้กับโหนดปลายทางอีกด้วย การสื่อสารภายใน เครือข่ายแบบดาว จะเป็นแบบ 2 ทิศทางโดยจะอนุญาตให้มีเพียงโหนดเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายได้ จึงไม่มีโอกาสที่หลายๆ โหนดจะส่งข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลาเดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูล เครือข่ายแบบดาว เป็นรูปแบบเครือข่ายหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน<br />
</div>
<div style="text-align: left;">
<strong>ข้อดีและข้อเสียของเครือข่ายแบบดาว</strong><br />
<br />
ข้อดี<br />
1.การติดตั้งเครือข่ายและการดูแลรักษาทำได้ง่าย<br />
2.หากมีโหนดใดเกิดความเสียหายก็สามารถตรวจสอบได้ง่าย และเนื่องจากใช้อุปกรณ์ 1 ตัวต่อสายส่งข้อมูล 1 เส้น ทำให้การเสียหายของอุปกรณ์ใดในระบบไม่กระทบต่อการทำงานของจุดอื่นๆ ในระบบ<br />
3.ง่ายในการให้บริการเพราะรูปแบบเครือข่ายแบบดาวมีศูนย์กลางทำหน้าที่ควบคุม<br />
<br />
ข้อเสีย<br />
1. ถ้าสถานีกลางเกิดเสียขึ้นมาจะทำให้ทั้งระบบทำงานไม่ได้<br />
2. ต้องใช้สายส่งข้อมูลจำนวนมากกว่าเครือข่ายแบบบัส และ แบบวงแหวน<br />
<br />
<br />
</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
<strong>2. แบบวงแหวน</strong> เป็นแบบที่สถานีของเครือข่ายทุกสถานีจะต้องเชื่อมต่อกับเครื่องขยายสัญญาณของตัวเอง โดยจะมีการเชื่อมโยงของสัญญาณของทุกสถานีเข้าด้วยกันเป็นวงแหวน เครื่องขยายสัญญาณเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการรับข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองหรือจากเครื่องขยายสัญญาณตัวก่อนหน้าและส่งข้อมูลต่อไปยังเครื่องขยายสัญญาณตัวถัดไปเรื่อย ๆ เป็นวง หากข้อมูลที่ส่งเป็นของสถานีใด เครื่องขยายสัญญาณของสถานีนั้นก็รับและส่งให้กับสถานีนั้น เครื่องขยายสัญญาณจึงต้องมีการตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับว่าเป็นของตนเองหรือไม่ด้วย ถ้าใช่ก็รับไว้ ถ้าไม่ใช่ก็ส่งต่อไป</div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<strong>เครือข่ายแบบวงแหวน (Ring Network) </strong></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzES2BSr2chXZ9j4H_pCB-UCKWGSfhK-o6cv0XC3KpupJ1FWODu3nTkpZgsp86_flT_od7qAfm1Ehhu39GU6a-Phv8MqJ7aPR0KQse4lt1FmmgAbnORGKVSHUWerBu5P9V83Yv6cadWn0/s1600/33.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="294" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzES2BSr2chXZ9j4H_pCB-UCKWGSfhK-o6cv0XC3KpupJ1FWODu3nTkpZgsp86_flT_od7qAfm1Ehhu39GU6a-Phv8MqJ7aPR0KQse4lt1FmmgAbnORGKVSHUWerBu5P9V83Yv6cadWn0/s320/33.jpg" width="320" /></a></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
ลักษณะการทำงานของเครือข่ายแบบวงแหวน<br />
<br />
เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากันเป็นวงกลม ข้อมูลข่าวสารจะถูกส่งจากโหนดหนึ่งไปยังอีกโหนดหนึ่ง วนอยู่ในเครือข่ายไปใน ทิศทางเดียวเหมือนวงแหวน (ในระบบเครือข่ายรูปวงแหวนบางระบบสามารถส่งข้อมูลได้สองทิศทาง) ในแต่ละโหนดหรือสถานี จะมีรีพีตเตอร์ประจำโหนด 1 ตัว ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข่าวสารที่จำเป็นต่อการ สื่อสาร ในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล สำหรับการส่งข้อมูลออกจากโหนด และมีหน้าที่รับแพ็กเกจข้อมูลที่ไหลผ่านมาจากสายสื่อสาร เพื่อตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลที่ส่งมาให้โหนดของตนหรือไม่ ถ้าใช่ก็จะคัดลอกข้อมูลทั้งหมดนั้นส่งต่อไปให้กับโหนดของตน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะปล่อยข้อมูลนั้นไปยังรีพีตเตอร์ของโหนดถัดไป</div>
<div style="text-align: left;">
<strong>ข้อดีข้อเสียของเครือข่ายรูปวงแหวน</strong><br />
<br />
ข้อดี<br />
1. การส่งข้อมูลสามารถส่งไปยังผู้รับหลาย ๆ โหนดพร้อมกันได้ โดยกำหนดตำแหน่งปลายทางเหล่านั้นลงในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูล รีพีตเตอร์ของแต่ละโหนดจะตรวจสอบเองว่ามีข้อมูลส่งมาให้ที่โหนดตนเองหรือไม่<br />
2. การส่งข้อมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงไม่มีการชนกันของสัญญาณข้อมูล<br />
<br />
ข้อเสีย<br />
1. ถ้ามีโหนดใดโหนดหนึ่งเกิดเสียหาย ข้อมูลจะไม่สามารถส่งผ่านไปยังโหนดต่อไปได้ และจะทำให้เครือข่ายทั้งเครือข่ายขาดการติดต่อสื่อสาร<br />
2. เมื่อโหนดหนึ่งต้องการส่งข้อมูล โหนดอื่น ๆ ต้องมีส่วนร่วมด้วย ซึ่งจะทำให้เสียเวลา<br />
<br />
</div>
<div style="text-align: left;">
<strong>3. เครือข่ายแบบบัส (Bus Network)</strong> เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสายเคเบิ้ลยาว ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ โดยจะมีอุปกรณ์ที่เป็นตัวเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เข้ากับสายเคเบิ้ล ในการส่งข้อมูล จะมีคอมพิวเตอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งข้อมูลได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ การจัดส่งข้อมูลวิธีนี้จะต้องกำหนดวิธีการ ที่จะไม่ให้ทุกสถานีส่งข้อมูลพร้อมกัน เพราะจะทำให้ข้อมูลชนกัน วิธีการที่ใช้อาจแบ่งเวลาหรือให้แต่ละสถานีใช้ความถี่ สัญญาณที่แตกต่างกัน ในการติดตั้งเครือข่ายแบบบัสนี้ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชนิด ถูกเชื่อมต่อด้วยสายเคเบิ้ลเพียงเส้นเดียว ซึ่งจะใช้ในเครือข่ายขนาดเล็ก ในองค์กรที่มีคอมพิวเตอร์ใช้ไม่มากนัก</div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<strong>เครือข่ายแบบบัส (Bus Network)</strong></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhc-M3C7or5I6qFqPYpKWn0SQPBu4aC_WvvqLS7filNPZ4dl4umZPLooCXvNVT4FcEXTiXfObMZVK7OLFZy-_WksHSeEIeimWHu-t_i2KQPTAeKV2Ya365oLzDfvyRxo6r1M46qNLdLodw/s1600/44.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhc-M3C7or5I6qFqPYpKWn0SQPBu4aC_WvvqLS7filNPZ4dl4umZPLooCXvNVT4FcEXTiXfObMZVK7OLFZy-_WksHSeEIeimWHu-t_i2KQPTAeKV2Ya365oLzDfvyRxo6r1M46qNLdLodw/s1600/44.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
ลักษณะการทำงานของเครือข่ายแบบบัส<br />
<br />
อุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนด ในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า"บัส" (BUS) เมื่อโหนดหนึ่งต้องการจะส่งข้อมูลไปให้ยังอีกโหนดหนึ่งภายในเครือข่าย จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าบัสว่างหรือไม่ ถ้าหากไม่ว่างก็ไม่สามารถจะส่งข้อมูลออกไปได้ ทั้งนี้เพราะสายสื่อสารหลักมีเพียงสายเดียว ในกรณีที่มีข้อมูลวิ่งมาในบัส ข้อมูลนี้จะวิ่งผ่านโหนดต่างๆ ไปเรื่อยๆ ในขณะที่แต่ละโหนดจะคอยตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมาว่าเป็นของตนเองหรือไม่ หากไม่ใช่ ก็จะปล่อยให้ข้อมูลวิ่งผ่านไป แต่หากเลขที่อยู่ปลายทาง ซึ่งกำกับมากับข้อมูลตรงกับเลขที่อยู่ของตน โหนดนั้นก็จะรับข้อมูลเข้าไป<br />
</div>
<div style="text-align: left;">
<strong>ข้อดีข้อเสียของเครือข่ายแบบบัส</strong><br />
<br />
ข้อดี<br />
1. ใช้สายส่งข้อมูลน้อยและมีรูปแบบที่ง่ายในการติดตั้ง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุง รักษา<br />
2. สามารถเพิ่มอุปกรณ์ชิ้นใหม่เข้าไปในเครือข่ายได้ง่าย<br />
<br />
ข้อเสีย<br />
1. ในกรณีที่เกิดการเสียหายของสายส่งข้อมูลหลัก จะทำให้ทั้งระบบทำงานไม่ได้<br />
2. การตรวจสอบข้อผิดพลาดทำได้ยาก ต้องทำจากหลาย ๆจุด</div>
<div style="text-align: left;">
<br />
<br />
<br />
<strong>4. แบบต้นไม้ (Tree Network)</strong> เป็นเครือข่ายที่มีการผสมผสานโครงสร้างเครือข่ายแบบต่างๆเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ การจัดส่งข้อมูลสามารถส่งไปถึงได้ทุกสถานี การสื่อสารข้อมูลจะผ่านตัวกลางไปยังสถานีอื่น ๆ ได้ทั้งหมด เพราะทุกสถานีจะอยู่บนทางเชื่อม รับส่งข้อมูลเดียวกัน</div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<br /></div>
<div style="text-align: left;">
<strong>เครือข่ายแบบต้นไม้ (Tree Network) </strong></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHKpKaGMD6EQZnlk1M5yg_uJSMHT-PKwFjvLWJLvh8rVBm_ZYDZzaXx7iJtlhPXNlDzIYz21ZGw4qEtGsmXr2BvkzNtwHZ8yAJRmnisnta8HFlyLR2bCVKTcA1iiSOmjqIK47VBPm9xPA/s1600/55.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHKpKaGMD6EQZnlk1M5yg_uJSMHT-PKwFjvLWJLvh8rVBm_ZYDZzaXx7iJtlhPXNlDzIYz21ZGw4qEtGsmXr2BvkzNtwHZ8yAJRmnisnta8HFlyLR2bCVKTcA1iiSOmjqIK47VBPm9xPA/s1600/55.jpg" /></a></div>
<div style="text-align: center;">
<br /></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/06925822195701755297noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6191989562066243148.post-13096108262381856662013-01-23T21:43:00.005-08:002013-01-30T00:12:20.820-08:00ซอฟต์แวร์ (Software)<div style="text-align: center;">
</div>
<strong>1.ความหมายของซอฟแวร์</strong><br />
<br />
ซอฟต์แวร์ คือ การลำดับขั้นตอนการทำงานของคำสั่งที่จะทำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไร เป็นชุดของโปรแกรมหลายๆโปรแกรมนำมารวมกันให้สามารถทำงานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้องการ เรามองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้แต่เราสามารถสร้าง จัดเก็บ และนำมาใช้งานหรือเผยแพร่ได้ด้วยสื่อหลายชนิดเช่น แผ่นบันทึก แผ่นซีดี แฟล็ชไดร์ฟ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น<br />
หน้าที่ของซอฟต์แวร์<br />
ซอฟต์แวร์ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์ เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท<br />
<br />
<strong>2. ประเภทของซอฟแวร์</strong><br />
ซอฟต์แวร์แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ <br />
-ซอฟต์แวร์ระบบ(System Software)<br />
-ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)<br />
-ซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ<br />
<br />
<strong>1. ซอฟท์แวร์ระบบ (System Software)</strong><br />
<br />
ซอฟท์แวร์ระบบเป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับระบบ หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบ คือ ดำเนินงานพื้นฐานต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอภาพหรือนำออกไปยังเครื่องพิมพ์ จัดการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำรอง<br />
System Software หรือโปรแกรมระบบที่รู้จักกันดีก็คือ DOS, Windows, Unix, Linux รวมทั้งโปรแกรมแปลคำสั่งที่เขียนในภาษาระดับสูง เช่น ภาษา Basic, Fortran, Pascal, Cobol, C เป็นต้น <br />
นอกจากนี้โปรแกรมที่ใช้ในการตรวจสอบระบบเช่น Norton’s Utilities ก็นับเป็นโปรแกรมสำหรับระบบด้วยเช่นกัน<br />
<br />
<br /><br />
หน้าที่ของซอฟต์แวร์ระบบ<br />
1) ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก เช่น รับรู้การกดแป้นต่างๆ บนแผงแป้นอักขระ ส่งรหัสตัวอักษรออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ ติดต่อกับอุปกรณ์รับเข้าและส่งออกอื่นๆ เช่น เมาส์ ลำโพงเป็นต้น <br />
2) ใช้ในการจัดการหน่วยความจำ เพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลัก หรือในทำนองกลับกัน คือนำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก <br />
3) ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น การขอดูรายการในสาระบบ (directory) ในแผ่นบันทึก การทำสำเนาแฟ้มข้อมูล <br />
ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐานที่เห็นกันทั่วไป แบ่งออกเป็นระบบปฏิบัติการ และ ตัวแปลภาษา<br />
<br />
<br /><br />
<strong>ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ</strong><br />
<br />
ซอฟต์แวร์ระบบ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ<br />
1. ระบบปฏิบัติการ (Operating System : OS) <br />
2. ตัวแปลภาษา<br />
<br />
<strong>1. ระบบปฏิบัติการ</strong> หรือที่เรียกย่อๆ ว่า โอเอส (Operating System : OS) <br />
เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการนี้ ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้กันมากและเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ดอส วินโดวส์ ยูนิกซ์ ลีนุกซ์ และแมคอินทอช เป็นต้น<br />
<br />
1) ดอส (Disk Operating System : DOS) เป็นซอฟต์แวร์จัดระบบงานที่พัฒนามานานแล้ว การใช้งานจึงใช้คำสั่งเป็นตัวอักษร ดอสเป็นซอฟต์แวร์ที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ใช้ไมโครคอมพิวเตอร์ในอดีต ปัจจุบันระบบปฏิบัติการดอสนั้นมีการใช้งานน้อยมาก <br />
2) วินโดวส์ (Windows) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาต่อจากดอส โดยให้ผู้ใช้สามารถสั่งงานได้จากเมาส์มากขึ้นแทนการใช้แผงแป้นอักขระเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ยังสามารถทำงานหลายงานพร้อมกันได้ โดยงานแต่ละงานจะอยู่ในกรอบช่องหน้าต่างบนจอภาพ การใช้งานเน้นรูปแบบกราฟิก ผู้ใช้งานสามารถใช้เมาส์เลื่อนตัวชี้เพื่อเลือกตำแหน่งที่ปรากฏบนจอภาพ ทำให้ใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ง่ายระบบปฏิบัติการวินโดวส์จึงได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน<br />
3) ยูนิกซ์ (Unix) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาตั้งแต่ครั้งใช้กับเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นเทคโนโลยีแบบเปิด (open system) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผู้ใช้ไม่ต้องผูกติดกับระบบใดระบบหนึ่งหรือใช้อุปกรณ์ที่มียี่ห้อเดียวกัน ยูนิกซ์ยังถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในลักษณะที่มีผู้ใช้ได้หลายคนในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า ระบบหลายผู้ใช้ (multiusers) และสามารถทำงานได้หลายๆ งานในเวลาเดียวกันในลักษณะที่เรียกว่า ระบบหลายภารกิจ (multitasking) ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์จึงนิยมใช้กับเครื่องที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เพื่อใช้งานร่วมกันหลายๆ เครื่องพร้อมกัน<br />
4) ลีนุกซ์ (linux) เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาจากระบบยูนิกซ์ เป็นระบบซึ่งมีการแจกจ่ายโปรแกรมต้นฉบับให้นักพัฒนาช่วยกันพัฒนาคุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ ระบบปฏิบัติการ<br />
ลีนุกซ์เป็นที่นิยมกันมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ที่ทำงานบนระบบลีนุกซ์จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมในกลุ่มของกูส์นิว (GNU) และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือระบบลีนุกซ์เป็นระบบปฏิบัติการประเภทแจกฟรี (Free Ware) ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย <br />
ระบบลีนุกซ์ สามารถทำงานได้บนซีพียูหลายตระกูล เช่น อินเทล (PC Intel) ดิจิตอล (Digital Alpha Computer) และซันสปาร์ค (SUN SPARC) ถึงแม้ว่าในขณะนี้ลีนุกซ์ยังไม่สามารถแทนที่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์บนพีซีได้ทั้งหมดก็ตาม แต่ผู้ใช้จำนวนมากได้หันมาใช้และช่วยพัฒนาโปรแกรมประยุกต์บนลีนุกซ์กันมากขึ้น<br />
5) แมคอินทอช (macintosh) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ แมคอินทอช ส่วนมากนำไปใช้งานด้านกราฟิก ออกแบบและจัดแต่งเอกสาร นิยมใช้ในสำนักพิมพ์ต่างๆ <br />
<br />
นอกจากระบบปฏิบัติการที่กล่าวมาแล้วยังมีระบบปฏิบัติการอีกมาก เช่นระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันเป็นระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการเน็ตแวร์ นอกจากนี้ยังมีระบบปฏิบัติการที่ใช้งานเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สร้างขึ้นมาเพื่องานใดงานหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในสถาบันการศึกษา<br />
<br />
<br /><br />
ชนิดของระบบปฏิบัติการ จำแนกตามการใช้งานสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ชนิดด้วยกัน คือ<br />
1 ประเภทใช้งานเดียว (Single-tasking)<br />
ระบบปฏิบัติการประเภทนี้จะกำหนดให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงานเท่านั้น ใช้ในเครื่องขนาดเล็กอย่างไมโครคอมพิวเตอร์ เช่น ระบบปฏิบัติการดอส เป็นต้น<br />
2 ประเภทใช้หลายงาน (Multi-tasking)<br />
ระบบปฏิบัติการประเภทนี้สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน เช่น ระบบปฏิบัติการ Windows 98 ขึ้นไป และUNIX เป็นต้น<br />
3 ประเภทใช้งานหลายคน (Multi-user)<br />
ในหน่วยงานบางแห่งอาจใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล ทำให้ในขณะใดขณะหนึ่งมีผู้ใช้คอมพิวเตอร์พร้อมกันหลายคน แต่ละคนจะมีสถานีงานของตนเองเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ จึงต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถสูง เพื่อให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถทำงานเสร็จในเวลา เช่น ระบบปฏิบัติการWindows NT และ UNIX เป็นต้น<br />
<br />
<strong>2. ตัวแปลภาษา</strong><br />
การพัฒนาซอฟแวร์ต้องอาศัยซอฟแวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจได้ และเพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟแวร์ในภายหลังได้ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษาซึ่งภาษาระดับสูงได้แก่ ภาษาBasic,Pascal, C และภาษาโลโก เป็นต้นนอกจากนี้ ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกมาก ได้แก่ Fortran, Cobol, และภาษาอาร์พีจี<br />
<br />
<strong>2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์(Applicafion Software)</strong><br />
<br />
ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้ทำงานเฉพาะด้าน เช่น การจัดพิมพ์รายงาน การนำเสนองาน การจัดทำบัญชี การตกแต่งภาพ หรือการออกแบบเว็บไซต์ เป็นต้น<br />
<br />
ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์<br />
แบ่งตามลักษณะการผลิต จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ<br />
1. ซอฟแวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ (Proprietary Software)<br />
2. ซอฟแวร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป (Packaged Software)<br />
มีทั้งโปรแกรมเฉพาะ (Customized Package) และ โปรแกรมมาตรฐาน (Standard Package)<br />
<br />
<br />
<strong>ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์</strong><br />
<br />
แบ่งตามกลุ่มการใช้งาน จำแนกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้<br />
<br />
1. กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ(Business)<br />
2. กลุ่มการใช้งานด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย(Graphic and Multimedia)<br />
3. กลุ่มการใช้งานบนเว็บ (Web and Communications)<br />
<br />
<strong>กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ (Business)</strong><br />
ซอฟแวร์กลุ่มนี้ ถูกนำมาใช้โดยมุ่งหวังให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นการจัดพิมพ์รายงานเอกสาร นำเสนองาน และการบันทึกนัดหมายต่างๆ ตัวอย่างเช่น:<br />
โปรแกรมประมวลคำ อาทิ Microsoft Word, Sun StarOffice Writer<br />
โปรแกรม ตารางคำนวณ อาทิ Microsoft Excel, Sun StarOffice Cals<br />
โปรแกรมนำเสนองาน อาทิ Microsoft PowerPoint, Sun StarOffice Impress<br />
<br />
<strong>กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิกและมัลติมีเดีย</strong><br />
ซอฟแวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิกและมัลติมีเดีย เพื่อให้งานง่ายขึ้น เช่น ใช้ตกแต่ง วาดรูป ปรับเสียง ตัดต่อภาพเคลื่อนไหว และการสร้างและออกแบบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น<br />
โปรแกรมงานออกแบบ อาทิ Microsoft Visio Professional<br />
โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CorelDRAW, Adobe Photoshop<br />
โปรแกรมตัดต่อวิดิโอและเสียง อาทิ Adobe Premiere, Pinnacle Studio DV<br />
โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Authorware, Toolbook Instructor, Adobe Director<br />
โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash, Adobe Dreamweaver<br />
<br />
<strong>กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร</strong><br />
เมื่อเกิดการเติบโตของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซอฟแวร์กลุ่มนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะเพิ่มมากขึ้น เช่น โปรแกรมการตรวจเช็คอีเมล การท่องเว็บไซต์ การจัดการดูแลเว็บ และการส่งข้อความติดต่อสื่อสาร การประชุมทางไกลผ่านเครือข่าย ตัวอย่างโปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่:<br />
โปรแกรมจัดการอีเมล อาทิ Microsoft Outlook, Mozzila Thunderbird<br />
โปรแกรมท่องเว็บ อาทิ Microsoft Internet Explorer, Mozzila Firefox<br />
โปรแกรม ประชุมทางไกล (Video Conference) อาทิ Microsoft Netmeeting<br />
โปรแกรมส่งข้อความด่วน (Instant Messaging) อาทิ MSN Messenger/ Windows Messenger, ICQ<br />
โปรแกรมสนทนาบนอินเทอร์เน็ต อาทิ PIRCH, MIRCH<br />
<br />
<br />
<strong>ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์</strong><br />
การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมากเพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษา คอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยคข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยู่มากมายบางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการคำนวณทางคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการจัดการข้อมูล<br />
ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์<br />
เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงาน มนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบ การที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวัแล้ว เรามีภาษาที่ใช้ใน การติดต่อซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์ต้องการจะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และปฏิบัติตามจะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้เราเรียกสื่อกลางนี้ว่า ภาษาคอมพิวเตอร์<br />
ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วย<br />
<br />
<strong> ภาษาเครื่อง (Machine Languages)</strong><br />
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้า ใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อง การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันทีแต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นที่เป็นตัวอักษร<br />
<br />
<strong> ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Languages)</strong><br />
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 2 ถัดจากภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์ <br />
แต่อย่างไรก็ตามภาษาแอสเซมบลีก็ยังมีความใกล้เคียงภาษาเครื่องอยู่มาก และจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษาที่เรียกว่าแอสเซมเบลอร์(Assembler) เพื่อแปลชุดภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง<br />
<br />
<strong> ภาษาระดับสูง (High-Level Languages)</strong><br />
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 3 เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า Statements ที่มีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้ที่เขียนโปรแกรมสามารถเข้าใจชุดคำสั่งเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานง่ายขึ้น ผู้คนทั่วไปสามารถเรียนรู้และเขียโปรแกรมได้ง่ายขึ้น เนื่องจากภาษาระดับสูงใกล้เคียงภาษามนุษย์ ตัวแปลภาษาระดับสูงเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องนั้นมีอยู่ 2 ชนิด ด้วยกัน คือคอมไพเลอร์ (Compiler) และ อินเทอร์พรีเตอร์(Interpreter) คอมไพเลอร์ จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อน แล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น อินเทอร์พรีเตอร์ จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็แล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป ข้อแตกต่างระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรีเตอร์จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่งAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/06925822195701755297noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6191989562066243148.post-78558475288048049092013-01-23T20:42:00.003-08:002013-01-30T00:28:32.370-08:00คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<strong>คอมพิวเตอร์ </strong>หมายถึง เครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือโปรแกรมต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือมีศักยภาพสูงในการคำนวณประมวลผลข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข รูปภาพ ตัวอักษร และเสียง</div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<br />
<strong>ส่วนประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์</strong><br />
<br />
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ หมายถึง ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 5 ส่วนคือ</div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<br />
<strong>ส่วนที่ 1 หน่วยรับข้อมูลเข้า (Input Unit)</strong><br />
เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาเชื่อมต่อ ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าสู่ระบบ เพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอรืทำงานตามความต้องการ ได้แก่<br />
<br />
- แป้นอักขระ (Keyboard)<br />
-แผ่นซีดี (CD-Rom)<br />
-ไมโครโฟน (Microphone) เป็นต้น</div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<br />
<strong>ส่วนที่ 2 หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit)</strong><br />
ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์ รวมถึงการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<strong>ส่วนที่ 3 หน่วยความจำ (Memory Unit)</strong><br />
ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมูลเพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลาง และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จาการประมวลผลแล้วเพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล<br />
</div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<strong>ส่วนที่ 4 หน่วยแสดงผล (Output Unit)</strong><br />
ทำหน้าที่แสดงข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล หรือผ่านการคำนวณแล้ว<br />
</div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<strong>ส่วนที่ 5 อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ (Peripheral Equipment)</strong><br />
เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่น โมเด็ม (modem) แผงวงจรเชื่อมต่อ เครือข่าย เป็นต้น<br />
<br />
</div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<strong>ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์</strong><br />
1. มีความเร็วในการทำงานสูง สามารถประมวลผลคำสั่งได้รวดเร็วเพียงชั่ววินาที จึงใช้ในงานคำนวณต่างๆได้อย่างรวดเร็ว<br />
2. มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง ทำงานได้ตลอด 24 ชั่งโมง ใช้แทนกำลังคนได้มาก<br />
3. มีความถูกต้องแม่นยำ ตามโปรแกรมสั่งงานและข้อมูลที่ใช้<br />
4. เก็บข้อมูลได้มาก ไม่เปลืองเนื้อที่เก็บเอกสาร<br />
5. สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน<br />
<br />
<br />
</div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<strong>ระบบคอมพิวเตอร์</strong><br />
<br />
หมายถึง กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใดๆ กับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้งานให้มากที่สุด เช่น ระบบเสียภาษี ระบบทะเบียนราษฎร์ ระบบทะเบียนการค้า ระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาล เป็นต้น<br />
การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยการตรวจสอบจากการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</div>
<br />
<br /><strong>องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์</strong><br />
ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน ดังนี้<br />
<br />
<strong>ฮาร์ดแวร์ (Hardware)</strong><br />
หมายถึง ตัวเครื่องและอุปกรณ์ส่วนต่างๆที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้ ฮาร์ดแวร์ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 4 ส่วน ดังนี้คือ<br />
1.ส่วนประมวลผล (Processor)<br />
2.ส่วนความจำ (Memory)<br />
3.อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก (Input-Output Devices)<br />
4.อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล (Storage Device)<br />
<br />
<br />
<strong>ส่วนที่ 1 CPU</strong><br />
<br />
CPU เป็นอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เปรียบเสมือนสมอง <br />
มีหน้าที่หลักในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ประมวนผลและเปรียบเทียบข้อมูล โดยทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลดิบ และแปลงให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ความสามารถของ ซีพียู นั้น พิจารณาจากความเร็วของการทำงาน การรับส่งข้อมูล อ่านและเขียนข้อมูลในหน่วยความจำ ความเร็วของซีพียูขึ้นอยู่กับตัวให้จังหวะที่เรียกว่า สัญญาณนาฬิกา เป็น<br />
ความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน 1 วินาที มีหน่วยเป็น เฮิร์ตซ์(Hertz)เช่น สัญญาณความเร็ว 1 ล้านรอบใน 1 วินาที เทียบเท่าความเร็วสัญญาณนาฬิกา 1 จิกะเฮิร์ตซ์ (1GHz)<br />
<br />
<br />
<strong>ส่วนที่2 หน่วยความจำ (Memory)</strong><br />
<br />
จำแนกออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้<br />
1. หน่วยความจำหลัก (Main Memory)<br />
2. หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage)<br />
<br />
<strong>1. หน่วยความจำหลัก (Main Memory)</strong><br />
เป็นหน่วยเก็บข้อมูลและคำสั่งต่างๆของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วย<br />
ชุดความจำข้อมูลที่สามารถบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่ง ข้อมูลจะถูกนำไปเก็บไว้และสามารถนำออกมาใช้ในการประมวลผลภายหลัง โดยCPUทำหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและนำออกจากหน่วยความจำการทำงานของคอมพิวเตอร์ ต้องใช้พื้นที่ของหน่วยความจำในการทำงานประมวลผล และเก็บข้อมูล ขนาดของความจุของหน่วยความจำ คำนวณได้จากค่าจำนวนพื้นที่ที่สามารถใช้ในการเก็บข้อมูล จำนวนพื้นที่คือจำนวนข้อมูล และขนาดของโปรแกรมที่สามารถเก็บข้อมูลได้สูงสุด พื้นที่หน่วยความจำมีมากจะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้น<br />
<br />
<strong>หน่วยประมวลผลกลาง (CPU)</strong><br />
หน่วยประมวลผลกลาง หรือ CPU มีความหมายทางด้านฮาร์ดแวร์ 2 อย่าง คือ<br />
<br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<strong>1.ชิป (chip) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์</strong></div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<br /> </div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiolwr53gFAlmeAeH-uaqRnpGGCLJrckW3GWGxML2yxgQ3VipMP_O8kvqPEmNgwlMqdXWUXt5SlNCVi3WbrSrJ3SrsFBRvk3_VOheTufZ0MgrCZCdTMgMb56_4hwUoXWpLqlf2WHYOz92E/s1600/Picture1.jpg" imageanchor="1" style="height: 160px; margin-left: 1em; margin-right: 1em; width: 206px;"><img border="0" height="150" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiolwr53gFAlmeAeH-uaqRnpGGCLJrckW3GWGxML2yxgQ3VipMP_O8kvqPEmNgwlMqdXWUXt5SlNCVi3WbrSrJ3SrsFBRvk3_VOheTufZ0MgrCZCdTMgMb56_4hwUoXWpLqlf2WHYOz92E/s200/Picture1.jpg" width="200" /></a></div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
</div>
<br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
</div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<br /></div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<br /></div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6UbohsPiOtU1jMeHkkmFSHffjACfGDW069yDuVZqkG_DbWhQeBOYfQuaGQYQLRfFEQJ6ztQLiczcIJW4Ml-nONyHvqPSHKfy2QFuAFIU1AoPigt_bCNKPXtpPVdttObUDPOC0XYj_gvA/s1600/Picture2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="183" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6UbohsPiOtU1jMeHkkmFSHffjACfGDW069yDuVZqkG_DbWhQeBOYfQuaGQYQLRfFEQJ6ztQLiczcIJW4Ml-nONyHvqPSHKfy2QFuAFIU1AoPigt_bCNKPXtpPVdttObUDPOC0XYj_gvA/s200/Picture2.jpg" width="200" /></a></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<strong>2. ตัวกล่องเครื่องที่มี CPU บรรจุอยู่</strong></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgS0JvShAV_6NPrX7s2HDeyJ_vuSDNzoqM4ORtj41z754RUZ2YD7I2wRnrgpMIfl7hYPCLZKei_6zUED9oqrSu9SjwjsRzdkPz-ReyDXYJtx3gnlw2ax-GrJgvSFV06C38DyC5l04d1eIs/s1600/Picture4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgS0JvShAV_6NPrX7s2HDeyJ_vuSDNzoqM4ORtj41z754RUZ2YD7I2wRnrgpMIfl7hYPCLZKei_6zUED9oqrSu9SjwjsRzdkPz-ReyDXYJtx3gnlw2ax-GrJgvSFV06C38DyC5l04d1eIs/s1600/Picture4.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKdyWnnuHumcQlU0G2_eTWcz9zI2MNF-RVqkwgzRhKamddewhwqTvkAU91xPoKgAJTUgiO-ZK0cXQM7tLKNZP5cqSWVfS9M9CNtIQqw21MvVnl_n4hRKQriZQ8OPjCWIOSc9hP9UEYr0o/s1600/Picture5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjKdyWnnuHumcQlU0G2_eTWcz9zI2MNF-RVqkwgzRhKamddewhwqTvkAU91xPoKgAJTUgiO-ZK0cXQM7tLKNZP5cqSWVfS9M9CNtIQqw21MvVnl_n4hRKQriZQ8OPjCWIOSc9hP9UEYr0o/s1600/Picture5.jpg" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<strong>1.หน่วยความจำหลัก </strong>แบ่งได้ 2 ประเภทคือ หน่วยความจำแบบ “แรม” (RAM)และหน่วยความจำแบบ”รอม”(ROM)</div>
1.1 หน่วยความจำแบบ “แรม” (RAM=Random Access Memory) เป็นหน่วยความจำที่ต้อง<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
อาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่อง หรือไม่มีกระแสไฟฟ้าป้อนให้กับเครื่อง เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบลบเลือน</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ได้ (Volatile Memory)</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<strong>ลักษณะของหน่วยความจำ RAM</strong><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjG1lRT0QSad8ATQ_rQyE76UTAFXRbuyToyT5gnbegTN8t9rO-9JNgB1Dai9fgeLU1BqixxuNTIfJD9vnGKjruRVeTSl0MFM2-yj2E2Y_5XJf1w02NsB-l00srsfYOSEQVMTjrZWtsLk8c/s1600/Picture7.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="200" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjG1lRT0QSad8ATQ_rQyE76UTAFXRbuyToyT5gnbegTN8t9rO-9JNgB1Dai9fgeLU1BqixxuNTIfJD9vnGKjruRVeTSl0MFM2-yj2E2Y_5XJf1w02NsB-l00srsfYOSEQVMTjrZWtsLk8c/s200/Picture7.jpg" width="200" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgnSy-l6iiYT1bBXOeOjaX7QoKe3vxDdN7i9MkrVG3eSqb2XiPvTYozHIqLfrWp8v3JMy6B4LVp5kwKOQQk6zfIxlgTuvePZQ9cjGS07Tg4EtWExdnOyh7wPztxKxO8D8NIezSRl7drm6I/s1600/Picture6.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgnSy-l6iiYT1bBXOeOjaX7QoKe3vxDdN7i9MkrVG3eSqb2XiPvTYozHIqLfrWp8v3JMy6B4LVp5kwKOQQk6zfIxlgTuvePZQ9cjGS07Tg4EtWExdnOyh7wPztxKxO8D8NIezSRl7drm6I/s200/Picture6.jpg" width="200" /></a></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<strong>1.2 หน่วยความจำแบบ “รอม” (ROM=Read Only Memory)</strong> เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถาวรไม่ขึ้นกับไฟฟ้าที่ป้อนให้กับวงจร ยอมให้ซีพียูอ่านข้อมูลหรือโปรแกรมไปใช้งานอย่างเดียว ไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปเก็บไว้ได้โดยง่าย ส่วนใหญ่ใช้เก็บโปรแกรมควบคุม เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน (Nonvolatile Memory) ชิปหน่วยความจำแบบรอม (ROM Chip)</div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsPwtFXsWdTg-1pDdUG1bQZejjgHZSTS61zbMhHds0RsgedD4oQbqOXnWdNtRny6D5HWBcNQTVT6fajRCWB5x5s1i9rzWlbKDEmJGwqDXIj9hyphenhyphenbyI8EWi8uv93H3kir5goqDJ4_xOFR3k/s1600/Picture8.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; cssfloat: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="122" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsPwtFXsWdTg-1pDdUG1bQZejjgHZSTS61zbMhHds0RsgedD4oQbqOXnWdNtRny6D5HWBcNQTVT6fajRCWB5x5s1i9rzWlbKDEmJGwqDXIj9hyphenhyphenbyI8EWi8uv93H3kir5goqDJ4_xOFR3k/s200/Picture8.jpg" width="200" /></a></div>
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWilmA8qJObtAEKc8xp03mbGIbGovcvWGMm1d_aa2LXpnRIToNi5nHsKwkCMKvVTqbg6qOmO6J8_Nn-yE4dw0pkM7hPq1OmXsgUXIjN6Lcppz06vAJ10YJty43R_qPMz2YsYSyBkhvixA/s1600/Picture9.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="98" oea="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhWilmA8qJObtAEKc8xp03mbGIbGovcvWGMm1d_aa2LXpnRIToNi5nHsKwkCMKvVTqbg6qOmO6J8_Nn-yE4dw0pkM7hPq1OmXsgUXIjN6Lcppz06vAJ10YJty43R_qPMz2YsYSyBkhvixA/s200/Picture9.jpg" width="200" /></a><br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<strong>หน่วยความจำสำรอง (Secondary Memory Unit)</strong></div>
หน่วยความจำสำรอง หรือหน่วยเก็บข้อมูลรอง เป็นหน่วยเก็บที่สามารถรักษาข้อมูลได้ตลอดไปหลังจากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว<br />
<br />
<strong>หน่วยความจำรองมีหน้าที่หลักคือ</strong><br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
1.ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข้อมูลเพื่อใช้ในอนาคต<br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
2.ใช้ในการเก็บข้อมูล โปรแกรมไว้อย่างถาวร</div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
3.ใช้เป็นสื่อในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง</div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<strong>ประโยชน์ของหน่วยความจำสำรอง</strong><br />
หน่วยความจำรองจะช่วยแก้ปัญหาการสูญหายของข้อมูลอันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับเพราะข้อมูลต่างๆที่ส่งเข้ามาประมวลผล เมื่อเรียบร้อยแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำไปเก็บในความจำหลักประเภทแรม หากปิดเครื่องหรือมีปัญหาทางไฟฟ้า อาจทำให้ข้อมูลสูญหายจึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำรอง เพื่อนำข้อมูลจากหน่วยความจำแรมมาเก็บไว้ใช้งานในครั้งต่อไป หน่วยความจำประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพบในรูปของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลภายนอก เช่น ฮาร์ดดิสก์ แผ่นบันทึก ชิปดิสก์ ซีดีรอม ดีวีดี เทปแม่เหล็ก หน่วยความจำแบบแฟลช หน่วยความจำรองนี้ ถึงจะไม่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถทำงานได้ปกติ<br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /> </div>
<strong>ส่วนแสดงผลข้อมูล</strong><br />
<br />
ส่วนแสดงผลข้อมูล คือส่วนที่แสดงข้อมูลจากสัญญาณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลางให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้ อุปกรณ์ที่แสดงผลข้อมูลได้แก่ จอภาพ (Monitor)เครื่องพิมพ์( Printer)เครื่องพิมพ์ภาพ Ploterและ ลำโพง (Speaker) เป็นต้น<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<strong>บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (PEOPLEWARE)</strong></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ หมายถึง คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่น<br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
อาจจะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียว หรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบโครงสร้างของ หน่วยงานคอมพิวเตอร์ </div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
ประเภทของบุคลากรทางคอมพิวเตอร์ (PEOPLEWARE) <br />
1. ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน <br />
2. ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม <br />
3. ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ <br />
<br />
บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์ <br />
1. หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์ (EDP Manager)<br />
2. หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน (System Analyst หรือ SA)<br />
3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)<br />
4. ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer Operator)<br />
5. พนักงานจัดเตรียมข้อมูล (Data Entry Operator) <br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
-นักวิเคราะห์ระบบงานทำการศึกษาระบบงานเดิม ออกแบบระบบงานใหม่</div>
-โปรแกรมเมอร์นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห์ระบบออกแบบไว้มาสร้างเป็นโปรแกรม<br />
-วิศวกรระบบทำหน้าที่ออกแบบ สร้าง ซ่อมบำรุง และดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามต้องการ<br />
-พนักงานปฏิบัติการทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ หรือภารกิจประจำวัน ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์<br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
อาจแบ่งประเภทของบุคลากรคอมพิวเตอร์เป็นระดับต่างๆได้ 4 ระดับดังนี้<br />
1. ผู้จัดการระบบ (System Manager)<br />
คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมายของหน่วยงาน<br />
2. นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)<br />
คือ ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะห์ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ในการใช้คอมพิวเตอร์กับระบบงาน เพื่อให้โปรแกรมเมอร์เป็นผู้เขียนโปรแกรมให้กับระบบงาน<br />
3. โปรแกรมเมอร์ (Programmer)<br />
คือ ผู้เขียนโปรแกรมสั่งงานเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้ โดยเขียนตามแผนผังที่นักวิเคราะห์ระบบได้เขียนไว้<br />
4. ผู้ใช้ (User)<br />
คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป ซึ่งต้องเรียนรู้วิธีการใช้เครื่อง และวิธีการใช้งานโปรแกรม เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถทำงาน<br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: left;">
ได้ตามที่ต้องการ</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/06925822195701755297noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6191989562066243148.post-85978692282081406722013-01-16T23:39:00.006-08:002013-01-16T23:55:32.027-08:00การสืบค้นข้อมูล Search Engine<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> <b>การสืบค้นข้อมูล</b><br />
<br />
<b>... ความหมายของเครื่องช่วยค้นหา(Search Engines)...</b><br />
<b><br /></b>
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>คือ เครื่องมือหรือเว็บไซต์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูลและข่าวสาร ที่อยู่ของเว็บไซต์ (Address) ต่าง ๆ ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เนื่องจากปัจจุบันการใช้งานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีการพัฒนาไปค่อนข้างมาก และโดยการใช้งานที่สะดวกขึ้น ทำให้เว็บที่เป็นแหล่งรวมข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาล<br />
<br />
<br />
<b>...ประเภทของเครื่องช่วยค้นหา (Search Engines)...</b><br />
<br />
<b>1. อินเด็กเซอร์ (Indexers)</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>Search Engines แบบอินเด็กเซอร์จะมีโปรแกรมช่วยจัดการหาข้อมูลในการค้นหา หรือที่เรียกว่า Robot วิ่งไปมาในอินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ เพื่ออ่านข้อมูลจากเว็บเพจ (Web Pages) ต่าง ๆ ทั่วโลกมาจัดทำเป็นฐานข้อมูลไว้ โดยจะใช้ตัวอินเด็กซ์ (Index) ค้นหาจากข้อความในเว็บเพจที่ได้สำรวจมาแล้ว<br />
<br />
ตัวอย่างของเว็บไซด์ที่ให้บริการตามแบบอินเด็กเซอร์<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- http://www.altavista.com<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> - http://www.excite.com<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- http://www.hotbot.com<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> - http://www.magellan.com<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- http://www.webcrawler.com<br />
<br />
<br />
<b>2. ไดเร็กทอรี (Directories)</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>Search Engines แบบไดเร็กทอรีจะใช้การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ซึ่งก็เปรียบเสมือนกับเป็นแค็ตตาล็อกสินค้า (Catalog) เราสามารถเลือกจากหมวดหมู่ใหญ่ แล้วเลือกดูหมวดหมู่ย่อย ๆ ลงไปเรื่อย ๆ จนพบกับข้อมูลที่ต้องการ โดยจะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่ง URL และรายละเอียดเกี่ยวกับ URL นั้น ๆ ซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์เนื้อหาของแต่ละเว็บเพจว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไร<br />
<br />
ตัวอย่างของเว็บไซต์ที่ให้บริการด้วยไดเร็กทอรี<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>-http://www.yahoo.com<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- http://www.lycos.com<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- http://www.looksmart.com <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> - http://www.galaxy.com<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- http://www.askjeeves.com <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> <span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- http://www.siamguru.com<br />
<div>
<br /></div>
<br />
<br />
<b>3. เมตะเสิร์ช (Metasearch)</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>Search Engines แบบเมตะเสิร์ชจะใช้หลาย ๆ วิธีการมาช่วยในการค้นหาข้อมูล โดยจะรับคำสั่งค้นหาจากเรา แล้วส่งต่อไปยังเว็บไซต์ที่เป็น Search Engines หลาย ๆ แห่งพร้อม ๆ กัน ทำให้เราสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ Search Engines ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะสรุปแสดงผลลัพธ์ออกมา<br />
<br />
ตัวอย่างของเว็บไซต์ที่ให้บริการด้วยเมตะเสิร์ช<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- http://www.dogpile.com<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> - http://www.profusion.com<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- http://www.metacrawler.com<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span> - http://www.highway61.com<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- http://www.thaifind.com<br />
<br />
<br />
<br />
<b>...เว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลที่ได้รับความนิยม...</b><br />
<br />
<b>Yahoo</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลแบบไดเร็กทอรี่เป็นรายแรกในอินเทอร์เน็ต และเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้งานสูงสุดในปัจจุบัน เพราะมีการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระเบียบ และผู้ใช้บริการมีโอกาสที่จะได้รับข้อมูลตรงกับความต้องการสูง การใช้งาน Yahoo แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ การค้นหาในแบบเมนู และการค้นหาแบบวิธีระบุคำที่ต้องการค้นหา<br />
<br />
<br />
<b>Altavista</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เป็น Search Engines ของบริษัท Digital Equipment Corp. หรือ DEC ซึ่งมีฐานข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มาก และมีโปรแกรมที่ช่วยในการค้นหาที่มีความสามารถสูงเป็นจุดเด่น โดยมีเว็บเพจอินเด็กซ์ (Indexed Web Pages) เป็นจำนวนมากกว่า 150 ล้านเว็บเพจที่เราสามารถใช้ในการค้นหาข้อมูล<br />
<br />
<br />
<b>Excite</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เป็น Search Engines ที่มีจำนวนไซต์ (site) ในคลังข้อมูลมากที่สุดตัวหนึ่งและสามารถค้นหาข้อมูลที่เป็นคำหรือความหมายของคำได้ โดยจะทำการค้นหาข้อมูลจาก World Wide Web และ Newsgroups เป็นหลัก จากการที่ excite มีข้อมูลในคลังข้อมูลเป็นจำนวนมาก ทำให้ผลลัพธ์ในการค้นหาข้อมูลที่ได้มีเป็นจำนวนมากตามไปด้วย<br />
<br />
<br />
<b>Hotbot</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลที่ได้รับความนิยมอีกเว็บไซต์หนึ่ง มีจุดเด่นตรงที่สามารถกำหนดเงื่อนไขขั้นสูงได้ง่ายกว่าเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ<br />
<br />
<br />
<b>Go.com</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เว็บไซต์ที่มีการนำเสนอข่าวทันเหตุการณ์ต่าง ๆ จากแหล่งข่าวต่าง ๆ เป็นจำนวนมากตลอดจนข่าวในด้านบันเทิง (Entertainment News) นอกจากนี้ยังมีการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์ต่าง ๆ<br />
<br />
<br />
<b>Lycos</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ฐานข้อมูลของ Lycos มีขนาดใหญ่มาก ซึ่งมีคลังข้อมูลมากกว่า 1,500,000 ไซต์และมีเทคนิคในการค้นหาข้อมูลที่ดีมากด้วย โดยมีระบบการค้นหาข้อมูลที่รวดเร็วที่สามารถลงไปค้นหาข้อมูลจาก World Wide Web ได้ทุกรูปแบบจนถึงการค้นเป็นคำต่อคำ<br />
<br />
<br />
<b>Looksmart</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เกิดขึ้นจากความคิดของชาวออสเตรเลีย 2 คนที่ไม่ประทับใจการค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตสมัยนั้น โดยขอความช่วยเหลือทางการเงินจาก Reader’s Digest ทั้งสองจึงลงมือสร้างเว็บไซต์ค้นหาข้อมูลที่คำนึงถึงความใช้ง่ายให้เหมะกับทั้งมือใหม่และผู้ที่ชำนาญอินเทอร์เน็ต<br />
<br />
<br />
<b>WebCrawler</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เป็นเว็บไซต์ที่มีคลังข้อมูลอยู่ในระดับปานกลาง การค้นหาข้อมูลของ WebCrawler จะมีข้อจำกัดก็คือ ใช้ค้นหาข้อมูลที่เป็นวลีหรือข้อความทั้งข้อความไม่ได้ จะสามารถค้นหาข้อมูลได้เฉพาะที่เป็นคำ ๆ เท่านั้น<br />
<br />
<br />
<b>Dog pile</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เป็นเว็บไซต์ประเภทเมตะเสิร์ชที่ใช้งานง่าย และค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โดยการพิมพ์คำที่เราต้องการค้นหาลงในช่องค้นหา และคลิกปุ่ม Fetch โดยผลลัพธ์ของการค้นหาจะถูกแสดงขึ้นมาบนจอภาพอย่างรวดเร็ว<br />
<br />
<br />
<b>Ask jeeves</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เป็นเว็บไซต์น้องใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในอินเทอร์เน็ต โดยเราสามารถถามคำถามที่เราอยากรู้โดยพิมพ์คำถามลงไปในช่องกรอกข้อความ และคลิกปุ่ม Ask แล้ว Ask jeeves จะไปทำการค้นหาคำตอบ (Answer) จากเว็บไซต์ต่าง ๆ ให้เรา<br />
<br />
<br />
<b>ProFusion</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลแบบเมตะเสิร์ช โดยค้นหาข้อมูลจาก Search Engines ที่ได้รับความนิยมถึง 9 แห่งด้วยกัน โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Search Engines ใดในการค้นหาข้อมูลทำให้สามารถค้นหาข้อมูลได้สะดวกรวดเร็วและตรงกับความต้องการ<br />
<br />
<br />
<b>Siamguru.com</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>siamguru.com ภายใต้สมญานาม “เสิร์ชฯ ไทยพันธุ์แท้” (Real Thai Search Engine) เป็นเว็บไซต์ที่มีเครื่องมือค้นหาสำหรับคนไทยที่ดีที่สุดในประเทศไทย โดยให้บริการค้นหาข้อความแบบธรรมดาและแบบพิเศษ ค้นหาภาพ ค้นหาเพลง นักร้องต่าง ๆ โดยใช้เทคโนโลยีการค้นหาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับการค้นหาภาษาไทย ตลอดจนมีระบบการเก็บข้อมูลใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา<br />
<br />
<br />
<b>... การใช้งาน Search Engines...</b><br />
<br />
<b>การระบุคำที่ต้องการค้นหาหรือใช้คีย์เวิร์ด Yahoo.com</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การค้นหาข้อมูลด้วยวิธีนี้ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะต้องป้อนข้อความที่ต้องการค้นหาหรือเรียกว่าคีย์เวิร์ด (Keyword) ลงไปในช่องสำหรับกำหนดการค้นหา ในเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูล<br />
<br />
<br />
<b>การค้นหาจากหมวดหมู่ (Directories)</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ในปัจจุบันเว็บไซต์ประเภท ต่าง ๆ มักจะมีการค้นหาแบบระบุคำหรือใช้คีย์เวิร์ดและการค้นหาจากหมวดหมู่ควบคู่กันไป ซึ่งการค้นหาจากหมวดหมู่จะมีการแบ่งหัวข้อต่าง ๆ ออกเป็นหัวข้อหลัก และในแต่ละหัวข้อหลักก็ประกอบไปด้วยหัวข้อย่อยลงไปเรื่อย ๆ ผู้ใช้สามารถคลิกที่ลิงก์ ไปยังหัวข้อย่อยต่าง ๆ จนพบกับข้อมูลที่ต้องการ<br />
<br />
<br />
<b>... เทคนิคในการค้นหาข้อมูล...</b><br />
<br />
เทคนิคและวิธีการที่ช่วยให้การค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตประสบความสำเร็จ ได้แก่<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. บีบประเด็นให้แคบลง เนื่องจากจำนวนข้อมูลที่มีมากมายในอินเทอร์เน็ตทำให้การค้นหาได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นจำนวนมาก<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. ใช้สิ่งที่เรียกว่าออปชัน (Option) เป็นตัวช่วยในการค้นหาข้อมูล ซึ่งเว็บไซต์ที่เป็นSearch Engines ส่วนใหญ่จะมีให้อยู่แล้ว<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3. อย่าค้นหาคำที่เราต้องการเท่านั้น ควรจะค้นหาคำที่มีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันด้วย<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>4. หลีกเลี่ยงการค้นหาคำที่เป็นคำเดี่ยว ๆ หรือมีตัวเลขปนอยู่ เช่น NT หรือ 3D แต่ถ้าต้องการค้นหาจริง ๆ จะต้องใส่เครื่องหมายคำพูดลงไปด้วย (“ ”)<br />
5. พวกกลุ่มคำ หรือวลี ก็ต้องใส่เครื่องหมายคำพูดลงไปเช่นเดียวกัน<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>6. หลีกเลี่ยงคำจำพวก Natural Language (ภาษาพูด)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>7. ควรใช้สิ่งที่เรียกว่า Advanced Search หรือ Power Search เข้ามาช่วย เพราะจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการของเรามากกว่าการค้นหาแบบธรรมดา<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>8. พยายามอย่าตั้งคำถามโดยมีคำนำหน้านาม (Articles) นำหน้าคำที่เราต้องการค้นหา เช่น การใช้ an หรือ the นำหน้า<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>9. ตรวจสอบข้อความหรือคำที่ต้องการค้นหาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้พิมพ์หรือสะกดคำผิด<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>10. ถ้าผลลัพธ์ที่ได้จากคำถามครั้งแรกไม่ตรงกับความต้องการของเรา ให้ทดลองเปลี่ยนคำถามเล็กน้อย<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>11. คำที่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกัน (Synonym) ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “Mother Board” เราสามารถใช้คำว่า “Main board” แทนได้<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>12. ถ้าคำถามของเรามีคำที่ต้องแยกจากัน เช่น คำว่า “Mother Board” เราจำเป็นต้องใช้เครื่องหมายอัญประกาศ หรือเครื่องหมายคำพูด (“ ”) เพราะจะทำให้ Search Engines มองรูปของคำว่า “Mother Board” เป็นข้อความเดียวกัน<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>13. ใช้ Help ให้เป็นประโยชน์ เพราะ Help เหล่านั้นจะมีเทคนิคหรือวิธีการของแต่ละ Search Engines ที่ช่วยแนะนำเทคนิคต่าง ๆ ที่สามารถใช้ได้หรือไม่ได้บนเว็บ Search Engines นั้น ๆ และยังมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ อีกมากมาย ซึ่งจะช่วยให้เราได้รับความสะดวกรวดเร็วในการค้นหาด้วย<br />
<br />
<br />
<b>... การใช้โปรแกรมเบราว์เซอร์ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต...</b><br />
<br />
<b>การค้นหาข้อมูลโดย Internet Explorer</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1.คลิกเม้าส์ที่ปุ่ม Search บนแถบเครื่องมือ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2.จะปรากฏหน้าต่าง Search ขึ้นมาทางด้านซ้ายของหน้าต่าง คลิกที่ปุ่ม Customize<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3.จะปรากฏหน้าต่าง Customize Search Setting บนจอภาพ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ามี Search Engines ต่าง ๆ ให้เราสามารถเลือกใช้ในการค้นหาข้อมูล<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>4.คลิกที่ปุ่ม OK <br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>5.เลือกสิ่งที่ต้องการให้โปรแกรม Internet Explorer ค้นหา <br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>6.กรอกข้อความ แล้วคลิกเม้าส์ที่ปุ่ม เพื่อเริ่มต้นการค้นหา<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>7.จะปรากฏรายชื่อเว็บไซต์ที่มีข้อมูลที่เราต้องการ เราสามารถคลิกเม้าส์ที่ชื่อเว็บไซต์เหล่านั้นได้ทันทีAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/06925822195701755297noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6191989562066243148.post-74187937218075215142012-11-22T01:10:00.000-08:002012-11-29T01:04:05.933-08:00ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ</b><br />
<br />
- รูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
- พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
- การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน<br />
<b><br /></b>
<b>รูปแบบเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบัน</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถจำแนกตามลักษณะการใช้งานได้เป้น 6 รูปแบบ ดังต่อไปนี้คือ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. เทคโนโลยีที่ใช้ในการเก็บข้อมูล เช่น ดาวเทียมถ่ายภาพทางอากาศ, กล้องดิจิทัล, กล้องถ่ายวีดิ<br />
ทัศน์, เครื่องเอกซเรย์<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. เทคโนโลยีที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น เทปแม่เหล็ก, จานแม่เหล็ก, จานแสงหรือจานเลเซอร์, บัตรเอทีเอ็ม<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3. เทคโนโลยีที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>4. เทคโนโลยีที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูล เช่น เครื่องพิมพ์, จอภาพ, พลอตเตอร์ ฯลฯ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>5. เทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดทำสำเนาเอกสาร เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร, เครื่องถ่ายไมโครฟิลม์<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>6. เทคโนโลยีสำหรับถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูล ได้แก่ ระบบโทรคมนาคมต่างๆ เช่น โทรทัศน์, วิทยุกระจายเสียง, โทรเลข, เทเล๊กซ์ และ ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งระยะใกล้และระยะไกล<br />
<br />
<br />
<b>ตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
มีการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในทางธุรกิจและทงการศึกษา เช่น<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- ระบบเอทีเอ็ม<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- การบริการและการทำธุรกรรมบนอินเทอร์เน็ต<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- การลงทะเบียน<br />
<br />
<br />
<b> พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ</b><br />
<br />
<b>พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>การแสดงออกทางความคิดและความรู้สึกในการใช้รูปแบบของเทคโนโลยีทุกประเภท ที่นำมาประยุกต์ใช้ในกระบวนหารจัดหา จัดเก็บ สร้างและเผยแพร่สารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ ภาพ ข้อความ หรือ ตัวอักษร ตัวเลข และ ภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น<br />
<br />
<b>การใช้อินเทอร์เน็ต</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>งานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศของนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา พบว่า...<br />
นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อความบันเทิง เนื่องจากเห็นว่ามีความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ในขณะที่การใช้อินเทอร์เน็ตของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาส่วนใหญ่ใช้เพื่อการเรียนรู้ การติดตามข่าวสารของสถานศึกษา<br />
<br />
<br />
<b>ใช้อินเทอร์เน็ตทำอะไรได้บ้าง?</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>งานวิจัยชี้ว่า นักศึกษาใช้อินเทอร์เน็ตในการสนทนากับเพื่อน และการค้นข้อมูลจากห้องสมุด<br />
<br />
...นอกจากนี้งานวิจัยยังชี้ว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศรูปแบบต่างๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้และประกอบการทำงาน<br />
<br />
<b>สถานที่ที่มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>งานวิจัยพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้าน และมีการใช้อินเตอร์เน็ตที่ห้องสมุดของสถาบัน<br />
<br />
<b>นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการใช้หรือการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศน้อยในรูปแบบไหนบ้าง?</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>งานวิจัยชี้ว่า นักศึกษามีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเหล่านี้น้อย ได้แก่ ฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การเรียนรู้แบบออนไลน์หรือ e-Learning วีดิทัศน์ตามอัธยาศัย (Video on Demand) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์และบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน<br />
<br />
<div>
<br /></div>
<br />
<br />
<b> การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- การเรียนรู้แบบออนไลน์ (e-Learning)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction-CAI)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- วีดิทัศน์ตามอัธยาศัย (Video on Demand-VOD)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-books)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>- ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (e-library)<br />
<br />
<br />
<b>การเรียนรู้แบบออนไลน์ (e-Learning)</b><br />
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เป็นการศึกษา เรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต (Internet) หรืออินทราเน็ต<br />
(Intranet) เป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอื่นๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่านเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) โดยผู้เรียน ผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติโดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อสื่อสารที่ทันสมัย สำหรับทุกคน โดยผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลา และทุกสถานที่ (Learning for all : anyone, anywhere and anytime)<br />
<br />
<br />
<b>บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction - CAI)</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>คือบทเรียนคอมพิวเตอร์ซึ่งนำเสนอสารสนเทศที่ได้ผ่านกระบวนการสร้างและพิจารณามาเป็นอย่างดี โดยมีเนื้อหาวิชาหรือสารสนเทศ แบบฝึกหัด การทดสอบและการให้ข้อมูลป้อนกลับให้ผู้เรียนได้ตอบสนองต่อบทเรียนได้ตามระดับความสามารถของตนเอง เนื้อหาวิชาที่นำเสนอจะอยู่ในรูปมัลติมีเดีย ซึ่งประกอบด้วย อักษร รูปภาพ เสียง และ/หรือ ทั้งภาพและเสียง ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการนำหลักการเบื้องต้นทางจิตวิทยาการเรียนรู้มาใช้ในการออกแบบโดยอาศัยพฤติกรรมการเรียนรู้ (Learning Behavior) ทฤษฎีการเสริมแรง (Reinforcement Theory) ทฤษฎีการวางเงื่อนไขปฏิบัติ (Operant Conditioning Theory) ซึ่งถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองและการเสริมแรงเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีจุดมุ่งหมายนำผู้เรียนไปสู่การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งอาศัยการสอนที่มีการวางโปรแกรมไว้ล่วงหน้า เป็นการให้ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและมีผลย้อนกลับทันทีและเรียนรู้ไปทีละขั้นตอนอย่างเหมาะสมตามความต้องการและความสามารถของตน<br />
<br />
<br />
<b>วีดิทัศน์ตามอัธยาศัย (Video on Demand - VOD)</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>คือ ระบบการเรียกดูภาพยนตร์ตามสั่งที่จะอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกดูภาพยนตร์หรือข้อมูลภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงได้ตามต้องการ ตามสโลแกนที่ว่า “To view what one wants, when one wants”. โดยสามารถใช้งานนี้ได้จากเครือข่ายสื่อสาร (Telecommunications Networks) ผู้ใช้งาน ซึ่งอยู่หน้าเครื่องลูกข่าย (Video Client) สามารถเรียกดูข้อมูลที่เป็นภาพเคลื่อนไหวได้ทุกเมื่อตามต้องการและสามารถควบคุมข้อมูลวิดีโอนั้น ๆ โดยสามารถย้อนกลับ (Rewind) หรือกรอไปข้างหน้า (Forward) หรือหยุดชั่วคราว(pause)ได้เปรียบเสมือนการดูวิดีโอที่บ้านนั่นเองทั้งนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่ายไม่จำเป็นต้องดูข้อมูลเดียวกัน กล่าวคือสามารถดูภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน หรือต่างกันก็ได้<br />
<br />
<br />
<b>หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-books ) </b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>คือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถอ่านได้ทางอินเทอร์เน็ต โดยมีเครื่องมือที่จำเป็นในการอ่านหนังสือประเภทนี้คือ ฮาร์ดแวร์ประเภทเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาอื่นๆ พร้อมทั้งติดตั้งระบบปฏิบัติการหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้อ่านข้อความต่างๆ ตัวอย่างเช่น ออร์แกไนเซอร์แบบพกพา พีดีเอ เป็นต้น ส่วนการดึงข้อมูล e-books ซึ่งจะอยู่บนเว็บไซต์ที่ให้บริการทางด้านนี้มาอ่านก็จะใช้วิธีการดาวน์โหลดผ่านทางอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะไฟล์ของ e-books หากนักเขียนหรือสำนักพิมพ์ต้องการสร้าง e-books จะสามารถเลือกได้สี่รูปแบบ คือ Hyper Text Markup Language (HTML), Portable Document Format (PDF), Peanut Markup Language (PML) และ Extensive Markup Language (XML)<br />
<br />
<br />
<b>ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (e-library)</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เป็นแหล่งความรู้ที่บันทึกข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายและให้บริการสารสนเทศทางอิเล็กทรอนิกส์หรือผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต<br />
<br />
คุณลักษณะที่สำคัญของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ มีดังนี้ คือ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. การจัดการทรัพยากรสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. ความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศโดยทางอิเล็กทรอนิกส์<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3. บรรณารักษ์หรือบุคลากรของห้องสมุดสามารถแทรกการติดต่อระหว่างผู้ใช้กับห้องสมุดได้ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้โดยทางอิเล็กทรอนิกส์<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>4. ความสามารถในการจัดเก็บ รวบรวมและนำส่งสารสนเทศสู่ผู้ใช้โดยทางอิเล็กทรอนิกส์<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/06925822195701755297noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6191989562066243148.post-13084424029693843092012-11-15T00:11:00.001-08:002012-11-15T01:13:27.101-08:00<br />
<br />
<br />
<b>วิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู</b><br />
<b>Information and Communication of Technology for Teachers</b><br />
<b>รหัสวิชา PC54504<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3(2-2-5)</b><br />
<br />
<b>คำอธิบายรายวิชา</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เช่น ไมโครคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ระบบการสื่อสารข้อมูล ระบบเน็ตเวิร์ก ระบบซอฟต์แวร์ การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ เครื่องมือการเข้าถึงสารสนเทศ ทักษะการเข้าถึงสารสนเทศ ฐานข้อมูลสารสนเทศ ห้องสมุดอิเล็กโทรนิกส์และการอ้างอิง ฝึกปฏิบัติการ การใช้คอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐานและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้อย่างเหมาะสม<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>สารสนเทศ</b> หมายถึง ข่าวสารที่สำคัญ เป็นระบบข่าวสารที่กำหนดขึ้น และจัดทำขึ้นภายในองค์การต่างๆ ตามความต้องการของเจ้าของหรือผู้บริหารองค์การนั้นๆ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>สารสนเทศ ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Information ซึ่งหมายถึง ความรู้ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าสารสนเทศ เป็นความรู้และข่าวสารที่สำคัญที่มีลักษณะพิเศษ ทั้งในด้านการได้มาและประโยชน์ในการนำไปใช้ปฏิบัติ<br />
<br />
...สารสนเทศมีความหมายตามที่ได้มีการให้คำจำกัดความที่ใกล้เคียงกัน ดังนี้<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>สารสนเทศ </b>หมายถึง ข้อมูลทั้งด้านปริมาณและด้านคุณภาพที่ประมวลจัดหมวดหมู่เปรียบเทียบและวิเคราะห์แล้วสามารถนำมาใช้ได้ หรือนำมาประกอบการพิจารณาได้สะดวกกว่าและง่ายกว่า<br />
<br />
<br />
<b>เทคโนโลยีสารสนเทศ(IT)</b> คืออะไร?<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เป็๋นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญต่อสังคมในปัจจุบัน มีความเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ การประมวลผลและการแสดงผล<br />
<br />
<b>ICT</b> = Information Communication Technology<br />
<br />
<br />
<b>องค์ประกอบหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศ</b><br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วย องค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>คอมพิวเตอร์จัดเป็นเทคโนโลยีหลักของเทคโนโลยรสารสนเทศในปัจจุบัน เนื่องจากคอมพิวเตอร์ มีคุณสมบัติครบถ้วน ทั้งด้านการบันทึก การจัดเก็บ การประมวลผล การแสดงผล และการสืบค้นหาข้อมูลสารสนเทศ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์</b> แบ่งเป็นเทคโนโลยีย่อยที่สำคัญได้ 2 ส่วนคือ เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และเทคโนโลยีซอฟต์แวร์<br />
<br />
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณืทุกชนิดที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ต่อพ่วงเพื่อเชื่อมโยง จำแนกตามหน้าที่การทำงานออกเป็น 4 ส่วน คือ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>(1) หน่วยรับข้อมูล<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>(2) หน่วยประมวลผลกลาง (CPU)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>(3) หน่วยแสดงผลข้อมูล(Output Unit)<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>(4) หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage Unit)<br />
<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ซอฟต์แวร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>(1) ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) หรือชุดคำสั้งที่ทำหน้าที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทำงานตามคำสั่ง<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>(2) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือชุดคำสั่งที่ผู้ใช้ส่งเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม</b> หมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันทั่วไป เช่น ระบบโทรศัพท์ ระบบดาวเทียม ระบบเครือข่ายเคเบิล และ ระบบสื่อสารอื่นๆ ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน<br />
<br />
<br />
<br />
<b><span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>-<b>แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 4</b> (2520-2524) การมีส่วนร่วมของสารสนเทศเพื่อการศึกษา มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานและปฏิบัติการของระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษาขึ้น<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>-<b>แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8</b> ก็ได้มีการเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษามากขึ้น<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>-<b>ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9</b> มีการจัดทำ <b>แผนหลัก</b> เพื่อพัฒนาระบบ<br />
สารสนเทศเพื่อการจัดการศึกษา<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
...แผนพัฒนาฯ ข้างต้นทำให้เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อวงการการศึกษาของประเทสไทยมากขึ้น จะทำให้การศึกษาของชาติมีความเท่าเทียมทั่วถึง มีคุณภาพและมีความต่อเนื่อง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างคุ้มค่า<br />
<br />
<br />
<b>พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา</b><br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>ยุคที่ 1 การประมวลผลข้อมูล</b> มีวัตถุประสงค์เพื่อการคำนวณและการประมวลผลข้อมูลของรายการประจำ (Transaction Processing) เพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>ยุคที่ 2 ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ</b> มีการใช้คอมพืวเตอร์ช่วยในการตัดสินใจ ควบคุม ดำเนินการ ติดตามผลและวิเคราะห์ผลงานของผู้บริหารระดับต่างๆ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>ยุคที่ 3 การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ</b> มีการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเรียกใช้สารสนเทศที่จะช่วยในการตัดสินใจนำหน่วยงานไปสู่ความสำเร็จ<br />
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span><b>ยุคที่ 4 ยุคปัจจุบัน หรือ ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ</b> มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดทำระบบสารสนเทศ และเน้นความคิดของการให้บริการสารสนเทศแก่ผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวัตถุประสงค์สำคัญ<br />
<br />
<b>ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร</b><br />
<b><br /></b>
<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>1. ให้ความรู้ ทำให้เกิดความคิดและความเข้าใจ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>2. ใช้ในการวางแผนการบริหารงาน<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>3. ใช้ประกอบการตัดสินใจ<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>4. ใช้ในการควบคุมสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น<br />
<span class="Apple-tab-span" style="white-space: pre;"> </span>5. เพื่อให้การบริหารงานมีระบบ<br />
<br />
<br />
<br />
<b>สรุป :</b> การนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ประโยชน์ในวงการศึกษามีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประเภทต่างๆ เช่น ดาวเทียมสื่อสาร ใยแก้วนำแสง อินเทอร์เน็ต ก่อให้เกิดระบบคอมพิวเตอร์สำหรับการบริหารงานในสถานศึกษาด้านต่างๆ เช่นระบบบริหารจัดการห้องสมุด และระบบคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอน เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษายังช่วยให้เกิดการลดความเหลื่อมล้ำของโอกาสทางการศึกษาการเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพในการศึกษา พัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้ทางด้านเทคโนโลยี<br />
<br />
<br />
<div>
<br /></div>
<br />
<br />
<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/06925822195701755297noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6191989562066243148.post-45383454461541160162012-11-07T23:47:00.000-08:002012-11-07T23:58:04.047-08:00assignment11. จงอธิบายความหมายของคำต่อไปนี้<br />
1.1 เทคโนโลยี หมายถึง สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นและพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์<br />
1.2 เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เป็นประโยชนืต่อการดำเนินชีวิตในประจำวัน<br />
1.3 เทคโนโลยีการสื่อสาร หมายถึง สิ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร<br />
<br />
2. จงอธิบายถึงความคาดหวังในการเรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครูว่า นักศึกษาคาดว่าจะได้เรียนรู้อะไรบ้างและนักศึกษาจะได้ทำสิ่งใดบ้าง<br />
ตอบ : ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีในการสร้างสื่อการเรียนการสอน เช่น Power point และคาดว่า จะได้สร้าง Website และสื่อการสอนเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ...<br />
<br />
<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/06925822195701755297noreply@blogger.com0